เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์สหรัฐฯ ยืนยันเป็นผู้รอดชีวิตจากการถูกแซะอำนาจจากกลุ่มฝ่านค้านและพันธมิตรวอชิงตัน กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเจรจาโดยตรงกับรัฐบาลทรัมป์เพื่อยุติวิกฤตทางการเมืองในประเทศ พร้อมยืนยันยังคงควบคุมเวเนซุเอลาในมือ แสดงความแปลกใจทำไมทรัมป์ถึงพยายามเข้าหาผู้นำเกาหลีเหนือ
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้(18 ม.ค)ว่า ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ถือเป็นสื่อสหรัฐฯเจ้าแรกนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโคลัส มาดูโร อ้างว่าเขามีแต้มต่อเหนือคู่แข่งในกรุงคาราคัสและกรุงวอชิงตัน มีอำนาจในการบริหารอย่างเหลือเฟือและพร้อมแล้วสำหรับการเจรจา
โดยชี้ว่าสถานการณ์ที่อาจสร้างผลกำไรกำลังรอสำหรับบริษัทน้ำมันสหรัฐฯในประเทศสมาชิกโอเปคแห่งนี้หากว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมยกเลิกการคว่ำบาตรและกดปุ่มเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างกันใหม่
วอชิงตันโพสต์ชี้ว่า อย่างไรก็ตามจุดยืนของเขาในประเด็นสำคัญจะยังไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนในปัญหาวิกฤตทางการบรรทุกข์ขั้นร้ายแรงที่ทำให้ประชาชนชาวเวเนฯหลายล้านคนต้องหลบหนีออกนอกประเทศหนีปัญหาอดอยากและความยากจน
ในการให้สัมภาษณ์มาดูโรชี้ว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นหากว่าหากว่าทางวอชิงตันเปิดช่องทางเจรจาโดยตรงกับตัวเขา “หากว่ามีความนับถือระหว่างรัฐบาลด้วยกัน ไม่ว่าสหรัฐฯจะยิ่งใหญ่เพียงใด และหากเป็นการเจรจา การแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ดังนั้นแล้วมั่นใจได้ว่าเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ได้” และมาดูโรเสริมต่อว่า “ความสัมพันธุ์ของการนับถือและการเจรจานำมาสู่สถานการณ์ที่มีแต่ชัยชนะ ความสัมพันธุ์ที่มีลักษณะการเผชิญหน้านำมาสู่สถานการณ์ที่มีแต่ความพ่ายแพ้ นี่ถือเป็นสูตร”
สหรัฐฯและอีกเกือบ 60 ชาติทั่วโลกได้ยอมรับผู้นำฝ่ายค้านเวเนฯ ฮวน กวยโด ในฐานะประธานาธิบดีรักษาการเวเนซุเอลา และสหรัฐฯยังมีจุดยืนที่หนักแน่นว่า หากไม่และเมื่อใดที่ทางมาดูโรมีความเต็มใจที่หารือถึงการลงของเขาจากตำแหน่ง ช่องทางการเจรจาทางตรงพร้อมที่จะเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนตัวเขา
การให้สัมภาษณ์เกิดขึ้นในช่วงค่ำวันศุกร์(17)ยาวนานกว่าชั่วโมงที่ทำเนียบประธานาธิบดีเวเนซุเอลาในกรุงคาราคัส วอชิงตันโพสต์รายงานว่า แต่มาดูโรที่อยู่ในวัย 57 ปีอดีตผู้นำสหภาพและทายาทของผู้นำตลอดกาล อูโก ชาเบซ ไม่มีท่าทีเช่นนั้น
มาดูโรออกมาปฎิเสธถึงการประเมินจากนักการทูตสหรัฐฯและยุโรปและผู้แทนเจรจาฝ่ายค้านว่า รัฐบาลคาราคัสของเขาได้เสนอข้อตกลงฝ่ายค้านรวมไปถึง การจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนฯใหม่ในการเจรจาที่มีนอร์เวย์เป็นตัวกลางในปีที่แล้วก่อนที่จะล่มไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่มาดูโรประกาศที่จะจัดการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในปีนี้ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวว่าต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการกระชับอำนาจ
โดยทางฝ่ายตรงข้ามออกมากล่าวหามาดูโรว่า ต้องการการเลือกตั้งปลอมเพื่อที่จะให้มีรัฐสภานิติบัญญัติหุ่นเชิดขึ้น วอชิงตันโพสต์กล่าว และเสริมว่า มาดูโรกล่าวว่า เขายังคงมีความตั้งใจที่จะเจรจากับกวยโด แต่ดูเหมือนจะปฎิเสธข้อเรียกร้องสำคัญของฝ่ายค้านคือการที่เขาต้องลงจากอำนาจเพื่อให้เกิดรัฐบาลเปลี่ยนผ่านเพื่อที่จะทำการแก้ไขศาลสูงเวเนซุเอลาและคณะกรรมการเลือกตั้งของประเทศที่จะนำมาสู่ประกาศการเลือกตั้งครั้งใหม่
“กวยโดต้องรับผิดชอบต่อการเสียสภานิติบัญญัติแห่งชาติไป” มาดูโรกล่าว และเสริมว่า “เขาและความผิดพลาดของเขา อย่ามาโทษผมเลยในเวลานี้ เขาเป็นคนในตอนนี้ที่ต้องตอบคำถามต่อสหรัฐฯ”
และในการให้สัมภาษณ์ผู้นำคาราคัสปฎิเสธถึงการที่ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นจากนานาชาติ พร้อมกับเปิดเผยอย่างไม่ปิดบังถึงแผนเพื่อความอยู่รอดด้วยการกล่าวถึงความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับคิวบาและรัสเซีย โดยได้อ้างไปถึงบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย รอสเนฟต์ (Rosneft) ที่ในเวลานี้ที่มีกระบวนการ 70%ของน้ำมันดิบเวเนฯ แต่เป็นการกล่าวอ้างที่ขัดแย้งกับของสหรัฐฯ และมาดูโรได้ให้ตัวเลขรวมอยู่ที่เกือบ 20%
มาดูโรยังปฎิเสธว่า รัฐบาลปักกิ่งกำลังเริ่มจะตีตัวออกห่างจากรัฐบาลคาราคัสของเขา โดยชี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของข่าวปลอมของทรัมป์ พร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราเหนียวแน่นกว่าที่เคย”
นอกจากนี้มาดูโรอ้างว่าเขาได้เคยเพียรพยายามร้องขอทางตรงกับผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งหนังสือพิมพ์สหรัฐฯเคยรายงานว่า รูดี้ จูลิอานี ทนายความส่วนตัวของทรัมป์ปรากฎอยู่ในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างมาดูโรและสมาชิกสภาผู้แทนสหรัฐฯรัฐเทกซัสพรรครีพับลิกัน ปีเตอร์ เซสชันส์(Peter Sessions)เมื่อปลายปี 2018 แต่มาดูโรกล่าวว่าเขาไม่ได้ยินเสียงจูลิอานีทางสายโทรศัพท์แต่รู้ว่าจูลิอานีอยู่ที่นั่นและหวังว่าเขาจะเป็นตัวกลางในการเปิดช่องทางติดต่อโดยตรงกับผู้นำสหรัฐฯ
วอชิงตันโพสต์กล่าวว่า ทรัมป์ถูกทำให้หลงทางจากเจ้าหน้าที่ด้านจัดทำนโยบายสหรัฐฯ และรู้สึกแปลกใจที่ทรัมป์พยายามเข้าหาคิม จองอึนผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ไม่ใช่ตัวเขา เป็นต้นว่า รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ ล้มเหลวในเวเนซุเอลาและต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวของผู้นำสหรัฐฯในนโยบายของเขาที่มีต่อเวเนซุเอลา
ในตอนท้ายผู้นำเวเนฯชี้ว่า หากว่าการเจรจากับวอชิงตันมีขึ้นจริง เขาชี้ว่าประเด็นสำคัญที่ตัวของเขา สหรัฐฯ และฝ่ายค้านจะเห็นร่วมกันคือการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นชอบร่วมกันได้ “ผมคิดว่าเราต้องมองในภาพกว้าง” มาดูโรกล่าว และชี้ว่า “ความสัมพันธ์ในอีก 5 หรือ 10 ปี ข้างหน้า ความสัมพันธ์ตลอดทั้งศตวรรษที่ 21”