สถานการณ์ไฟป่าครั้งเลวร้ายในออสเตรเลียยังคงลุกลามหนัก ล่าสุดทางการออสซี่ประกาศเตือนในวันพุธ (8 ม.ค.) ให้ประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเร่งอพยพก่อนที่คลื่นความร้อนระลอกใหม่จะมาถึง ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียออกมาเผยข่าวร้ายไม่พบสัญญาณบ่งชี้ว่าสภาพอากาศจะเริ่มเย็นลง หรือมีฝนตกลงมามากพอที่จะช่วยดับไฟป่าภายในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
พลเมืองในฝั่งตะวันออกของรัฐวิกตอเรียได้รับคำเตือนให้อพยพหนีคลื่นความร้อนซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ไฟป่ากลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกในวันศุกร์นี้ (10) ขณะที่รัฐเซาท์ออสเตรเลียก็เริ่มเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากชุมชนเล็กๆ บนเกาะแคงการู (Kangaroo Island)
วิกฤตไฟป่าครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากความแห้งแล้งซึ่งทำให้ผืนป่าเสื่อมโทรม ประกอบกับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฤดูไฟป่าของออสเตรเลียในปีนี้ทั้งยาวนานและรุนแรงเป็นประวัติการณ์
ทางการออสเตรเลียเผยเมื่อวันพุธ (8) ว่ามีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิตเป็นรายที่ 4 ระหว่างปฏิบัติภารกิจดับไฟป่า ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 26 คน
สถานการณ์ไฟป่าซึ่งลุกลามต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีที่แล้วได้เผาผลาญพื้นที่ป่าไปราวๆ 80,000 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้กับขนาดของประเทศไอร์แลนด์ และมีบ้านเรือนถูกเผาวอดไปอย่างน้อย 2,000 หลัง
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ประเมินว่า ไฟป่าครั้งนี้คร่าชีวิตสรรพสัตว์น้อยใหญ่ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านตัว ทั้งบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, นก และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ไม่รวมสัตว์ขนาดเล็กจำพวกกบ แมลง และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
ควันไฟป่าออสเตรเลียยังฟุ้งกระจายข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงบราซิลและอาร์เจนตินาซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 12,000 กิโลเมตร และยังมีรายงานว่าฝุ่นไฟป่าถูกกระแสลมพัดไปทางตะวันออกจนย้อมหิมะและธารน้ำแข็งในนิวซีแลนด์ให้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคาราเมล
แม้ฝนที่ตกลงมาบ้างในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะช่วยให้อุณหภูมิในภาคตะวันออกของออสเตรเลียลดลง แต่ยังคงมีไฟป่าอีกหลายสิบจุดที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ชาวออสซี่ยังต้องเตรียมตัวรับมือกับคลื่นความร้อนระลอกใหม่ที่คาดว่าจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
ออสเตรเลียเผชิญสภาพอากาศที่แห้งแล้งและร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2019 โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดถึง 41.9 องศาเซลเซียสในช่วงกลางเดือน ธ.ค.
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ไฟป่าออสเตรเลียซึ่งมีขนาดใหญ่และความร้อนสูงกำลังสร้างระบบภูมิอากาศขึ้นด้วยตัวเอง เนื่องจากควันไฟที่ร้อนจัดจะลอยตัวขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่เย็นกว่าก็จะก่อตัวกลายเป็นเมฆฝนและเกิดฟ้าผ่าแบบแห้งๆ โดยที่ไม่มีฝนตก ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีไฟป่าปะทุเพิ่มขึ้นอีก
หายนะทางธรรมชาติซึ่งปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลกทำให้บรรดาผู้มีชื่อเสียง นักกีฬา และผู้นำชาติต่างๆ พร้อมใจกันออกมารณรงค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยไฟป่าในแดนจิงโจ้ ขณะที่ทางการออสเตรเลียยอมรับว่าภัยพิบัติครั้งนี้อาจกินเวลาอีกหลายสัปดาห์หรือยาวนานเป็นเดือนๆ
รัฐบาลแคนเบอร์ราได้เรียกระดมทหารกองหนุน 3,000 นายเพื่อต่อสู้ไฟป่า และจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือเบื้องต้น 2,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่สภาประกันภัยออสเตรเลียเปิดเผยว่าขณะนี้มีการเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายจากไฟป่าเป็นมูลค่าราว 700 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 14,600 ล้านบาท) และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มสูงขึ้นอีก
เป็ป คานาเดลล์ ผู้อำนวยการ Global Carbon Project อ้างข้อมูลจากดาวเทียมนาซาซึ่งพบว่า สถานการณ์ไฟป่าที่ลากยาวมาตั้งแต่เดือน ก.ย. ทำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศราว 350 ล้านตัน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากฝีมือมนุษย์ที่ปลดปล่อยโดยออสเตรเลียในแต่ละปี
รัฐบาลอนุรักษนิยมของออสเตรเลียถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ค่อยให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวว่าปัญหาภัยแล้งและไฟป่าที่รุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ พร้อมย้ำว่าออสเตรเลียไม่จำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนให้น้อยลงไปกว่านี้ เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถ่านหินและก๊าซที่สร้างรายได้จากการส่งออกได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ออสเตรเลียขยับแซงกาตาร์กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวมากเป็นอันดับ 1 ของโลกในปีที่แล้ว