เอเจนซีส์ – นิวเซาธ์เวล รัฐที่มีประชากรมากที่สุดของออสเตรเลีย ประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งที่ 2 ในรอบไม่กี่เดือน ในวันพฤหัสบดี (19 ธ.ค.) เมื่อความร้อนสูงและลมแรงเติมเชื้อให้ไฟป่าในกว่าร้อยจุดปะทุรุนแรงขึ้น ซึ่งรวมถึงไฟป่าสามจุดที่จ่อเข้าซิดนีย์ หลังจากเมื่อวันพุธ (18 ธ.ค.) ออสเตรเลียเพิ่งเผชิญวันที่ร้อนอบอ้าวที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหมอกควันปกคลุมเหนือโอเปราเฮาส์ กระทั่งประชาชนต้องงดกิจกรรมกลางแจ้ง และสภาพอากาศในซิดนีย์เลวร้ายอย่างมาก
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในรัฐนิวเซาธ์เวลเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในการควบคุมทรัพยากรของรัฐ บังคับให้ประชาชนอพยพ ปิดถนนและระบบสาธารณูปโภคทั่วรัฐซึ่งมีประชากรกว่า 7 ล้านคน
เจ้าหน้าที่เผยว่า ไฟป่าเกือบ 120 จุดยังคงลุกไหม้ในช่วงบ่ายจัดวันพฤหัสบดี และกว่าครึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่อุณหภูมิในบางพื้นที่แตะ 45 องศาเซลเซียส ทำให้เจ้าหน้าที่ออกประกาศเตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมขั้นสูง
เชน ฟิตซ์ซิมมอนส์ ผู้บัญชาการสำนักงานดับเพลิง (อาร์เอฟเอส) ของนิวเซาธ์เวลส์ เผยว่า แนวขอบไฟลุกลามรุนแรงและรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 2 คนถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยเครื่องบินเนื่องจากมีแผลไหม้ที่ใบหน้าและทางเดินหายใจ ตอกย้ำว่า สถานการณ์ไฟป่ายังยากต่อการควบคุมและอันตรายอย่างมาก
แกลดิส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีนิวเซาธ์เวลส์ แนะนำให้ประชาชนเตรียมพร้อมเปลี่ยนแผนในการใช้เวลาช่วงเทศกาลวันหยุดพักผ่อนริมหาด หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน อะแมนดา ฟินด์ลีย์ นายกเทศมนตรีโชลเฮเวน เมืองชายฝั่งที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่อยู่ห่างจากซิดนีย์ 190 เมตรทางใต้ เผยว่า ประชาชนเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพ เนื่องจากมีความกังวลว่า ไฟป่าอาจลุกลามไปถึง
อาร์เอฟเอสโพสต์คลิปบนทวิตเตอร์เป็นภาพเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังต่อสู้กับ 1 ในไฟป่า 3 จุดที่ล้อมซิดนีย์อยู่ เครื่องบินดับเพลิงมีขนาดเล็กลงถนัดใจเมื่อเทียบกับควันสีเทาดำคละคลุ้งขณะที่เครื่องบินพยายามปล่อยสารเคมีเพื่อดับไฟป่าที่อยู่ห่างจากบ้านเรือนประชาชนไม่กี่เมตร
ออสเตรเลียเผชิญไฟป่าที่ลุกลามทั่วแถบชายฝั่งด้านตะวันออกมานาน 4 สัปดาห์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน บ้านกว่า 680 หลังถูกทำลาย ในจำนวนนี้เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดี เกือบ 40 หลัง และทุ่งไม้พุ่มได้รับความเสียหายคิดเป็นพื้นที่เกือบ 3 ล้านเอเคอร์
ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ออสเตรเลียเผชิญสภาพอากาศร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 2 โดยมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 41.9 องศาเซลเซียส
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงราว 1,700 คนกระจายกำลังทั่วนิวเซาธ์เวลส์ แต่ทางการเตือนว่า ยังไม่เพียงพอในการรับมือแนวโน้มอันตรายทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น และขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงอพยพขณะที่ยังทำได้
มาตรการฉุกเฉินปัจจุบันจะมีผล 7 วัน ขณะที่คำสั่งห้ามจุดไฟเผาสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่วันอังคาร (17 ธ.ค.) จะมีผลจนถึงเที่ยงคืนวันเสาร์ (21 ธ.ค.)
ขณะเดียวกัน ไฟป่าที่รุนแรงในหลายจุดรอบซิดนีย์ที่มีประชากร 5 ล้านคน ส่งผลให้มีปริมาณมลพิษสูงมาหลายวัน ล่าสุดเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดี ซิดนีย์ติดอันดับ 4 ในการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทั่วโลกโดยไอคิวแอร์ แอร์วิชวล โดยมีสถานการณ์เลวร้ายกว่าธากา มุมไบ เซี่ยงไฮ้ และจาการ์ตา
หลายสัปดาห์มานี้ผู้เดินทางต้องสวมหน้ากากเนื่องจากคุณภาพอากาศถึงระดับที่เป็นอันตรายแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในซิดนีย์
โดมินิก มอร์แกน ผู้อำนวยการหน่วยงานรถฉุกเฉินนิวเซาธ์เวลส์ ระบุว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ขอใช้บริการเพิ่มขึ้น 10% เพื่อรับผู้ป่วยด้วยอาการระบบทางเดินหายใจส่งโรงพยาบาล พร้อมเตือนให้ผู้มีความเสี่ยงงดออกจากบ้านและเตรียมยาไว้ใกล้ตัว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสัน ถูกวิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียลมีเดียมาหลายวัน จากการเดินทางไปพักผ่อนในต่างประเทศทั้งที่ออสเตรเลียเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉิน จากเดิมที่รัฐบาลถูกตำหนิอยู่แล้วว่า มีนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม
ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า มอร์ริสันและครอบครัวตากอากาศอยู่ที่ฮาวายนั้น มีผู้ประท้วงราว 500 คนชุมนุมหน้าที่พักประจำตำแหน่งผู้นำออสเตรเลียเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเร่งด่วนในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแถบมหาสมุทรแปซิฟิกต่างวิจารณ์นโยบายการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่อุดมด้วยถ่านหิน
นอกจากนี้ นักวิจัยยังระบุว่า ไฟป่าในออสเตรเลียขณะนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าและรุนแรงกว่าปกติเนื่องจากภาวะโลกร้อน และความแห้งแล้งยาวนานที่ทำให้พืชพันธุ์ต่างๆ แห้งและติดไฟง่าย แถมหลายเมืองขาดแคลนน้ำ