เอเจนซีส์ - รัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียประกาศภาวะฉุกเฉินไฟป่าในวันนี้ (11 พ.ย.) พร้อมแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รีบอพยพ ขณะที่ชาวนครซิดนีย์ได้รับคำเตือนให้เตรียมพร้อมเผชิญกับไฟป่า ‘ขั้นหายนะ’
ไฟป่าซึ่งลุกลามขยายวงกว้างในรัฐนิวเซาท์เวลส์และควีนส์แลนด์ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และบ้านเรือนถูกเผาวอดไปมากกว่า 150 หลัง ขณะที่มีคำเตือนว่าสภาพอากาศซึ่งจะร้อนจัดและมีลมแรงเป็นประวัติการณ์ในวันพรุ่งนี้ (12) อาจทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
เกลดีส์ เบเรจิเคลียน นายกรัฐมนตรีแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ให้สัมภาษณ์สื่อที่นครซิดนีย์ว่า “ประชาชนทุกคนจำเป็นต้องเฝ้าระวัง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และขอให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ขั้นเลวร้าย”
นครซิดนีย์ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เสี่ยงไฟป่าขั้นหายนะ (catastrophic fire danger) ตั้งแต่วันอังคาร (12) เนื่องจากคาดว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงถึง 37 องศาเซลเซียส ประกอบกับมีลมแรงซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้ไฟลุกลามเร็วขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการเตือนภัยขั้นสูงสุดในซิดนีย์ตั้งแต่ระบบเตือนภัยแบบใหม่ถูกนำมาใช้เมื่อ 10 ปีก่อน
มหานครซึ่งมีผู้อยู่อาศัยกว่า 5 ล้านคนถูกล้อมรอบด้วยผืนป่าซึ่งอยู่ในสภาพแห้งแล้ง เนื่องจากภาคตะวันออกของออสเตรเลียมีฝนตกน้อยมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
“ภารกิจในวันพรุ่งนี้คือการปกป้องชีวิต ปกป้องทรัพย์สิน และช่วยให้ทุกคนปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เบเรจิเคลียน กล่าว
ภาวะฉุกเฉินไฟป่าทั่วทั้งรัฐจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งระหว่างนี้หน่วยดับเพลิงจะมีอำนาจในการควบคุมทรัพยากรของรัฐบาลท้องถิ่น ออกคำสั่งอพยพ ปิดการจราจร หรือปิดการดำเนินงานของระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
โรงเรียนกว่า 100 แห่งถูกสั่งปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (11) ขณะที่ในช่วงบ่ายสำนักงานดับเพลิงได้เปิดระบบแจ้งเตือนสถานการณ์ฉุกเฉินมาตรฐาน (Standard Emergency Warning Signal) ซึ่งจะประกาศคำเตือนผ่านสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ทุกชั่วโมง
เชน ฟิตซ์ซิมมอนส์ ผู้บัญชาการสำนักงานดับเพลิงชนบทแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW RFS) เตือนประชาชนให้รีบอพยพก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ และระบุว่าอาจจะเกิดไฟป่าใหม่ๆ ขึ้นภายในรัศมี 20 กิโลเมตรจากไฟป่าที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในตอนนี้
ทางการย้ำว่า แม้แต่บ้านที่ปลูกสร้างด้วยวัสดุทนไฟก็จะไม่สามารถต้านทานได้หากสถานการณ์รุนแรงเข้าขั้นหายนะ
ในช่วงบ่ายวันนี้ (11) หน่วยกู้ภัยออสเตรเลียได้ช่วยกันเคลื่อนย้ายปศุสัตว์ออกจากพื้นที่เสี่ยงไฟป่า และมีคำเตือนจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขว่าคุณภาพอากาศทั่วทั้งรัฐนิวเซาท์เวลส์จะย่ำแย่ลง เนื่องจากกระแสลมได้พัดเอาควันไฟป่าจากพื้นที่ชายฝั่งตอนเหนือลงสู่ทิศใต้
สำนักงานดับเพลิงนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีผืนป่าถูกไฟเผาผลาญไปแล้วประมาณ 11,000 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นขนาดพอๆ กับ ‘จาเมกา’ หรือ ‘โคโซโว’ ทั้งประเทศ
วิกฤตไฟป่าครั้งนี้เริ่มส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสัตว์ป่าในออสเตรเลีย โดยมีรายงานว่าพบโคอาล่าถูกไฟคลอกตายแล้วราวๆ 350 ตัว
ป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลียเกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2009 โดยไฟได้เผาทำลายบ้านเรือนในรัฐวิกตอเรียไปหลายพันหลัง และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 173 คน บาดเจ็บ 414 คน ซึ่งสื่อออสซี่ได้ขนานนามเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “วันเสาร์แห่งความมืดมน” (Black Saturday)
สำหรับวิกฤตไฟป่าครั้งนี้เกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนที่ซีกโลกใต้จะย่างเข้าสู่ฤดูร้อน ซึ่งทำให้รัฐบาลออสเตรเลียถูกตั้งคำถามเรื่องนโยบายต่อสู้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและนักการเมืองฝ่ายค้านได้หยิบยกปัญหาไฟป่ามาเป็นข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี สก็อตต์ มอร์ริสัน ซึ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมถ่านหิน ต้องยกระดับเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
มอร์ริสัน ซึ่งลงสำรวจพื้นที่ไฟป่าในรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนักข่าวว่าไฟป่ามีส่วนเชื่อมโยงกับปัญหาโลกร้อนหรือไม่ ขณะที่รองนายกรัฐมนตรี ไมเคิล แมคคอร์มิค ออกมาวิจารณ์นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศว่ามัวแต่ “เล่นการเมือง” โดยไม่แคร์ชะตากรรมของประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย