รอยเตอร์ – องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ขีปนาวุธและโดรนซึ่งใช้ในการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือน ก.ย. ถูกผลิตโดยอิหร่าน เลขาธิการสหประชาชาติระบุวานนี้ (10 ธ.ค.)
สหรัฐฯ กลุ่มชาติยุโรป และซาอุดีอาระเบีย ต่างกล่าวโทษอิหร่านว่าเป็นผู้ส่งโดรนและขีปนาวุธมาถล่มโรงกลั่นน้ำมันเมื่อวันที่ 14 ก.ย. แม้ว่ากบฏฮูตีในเยเมนจะออกมาอ้างความรับผิดชอบก็ตาม ขณะที่เตหะรานซึ่งหนุนหลังพวกฮูตียังคงปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆ
อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นวานนี้ (10) ว่า เจ้าหน้าที่ยูเอ็นได้ทำการตรวจสอบเศษซากอาวุธที่ใช้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุฯ ในเมืองอาฟิฟเมื่อเดือน พ.ค. รวมถึงเหตุโจมตีที่สนามบินนานาชาติอาบา (Abha International Airport) ในเดือน มิ.ย และ ส.ค. และล่าสุดคือเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท ซาอุดี อารามโก ที่เมืองคูไรส์ (Kurais) และอับกอยก์ (Abqaiq) เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
“ขณะนี้เรายังไม่สามารถยืนยันได้เองว่า ขีปนาวุธร่อนและอากาศยานไร้คนขับที่ใช้ในเหตุโจมตีเหล่านี้มาจากอิหร่าน” รายงานจากเลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ระบุ
การโจมตีที่ล็อคเป้าโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ในเมืองอับกอยก์และคูไรส์ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นทันที และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโรงกลั่นทั้งสองจนทำให้กำลังผลิตน้ำมันทั่วโลกหดหายไปราว 5%
รัฐบาลซาอุฯ ยืนยันในวันที่ 3 ต.ค. ว่าสามารถฟื้นกำลังผลิตกลับสู่ภาวะปกติแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญยูเอ็นซึ่งดูแลเรื่องมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านและเยเมนได้เดินทางไปยังซาอุดีอาระเบียภายในไม่กี่วัน หลังเกิดเหตุโจมตีโรงกลั่นเมื่อวันที่ 14 ก.ย.
รายงานของ กูเตียร์เรส ยังระบุด้วยว่า กบฏฮูตี “ไม่ได้แสดงหลักฐานยืนยันว่าพวกเขาครอบครอง หรือได้รับการประเมินว่าอาจครอบครอง” โดรนชนิดที่ใช้ในการโจมตีโรงกลั่นอารามโก
ทั้งนี้ เลขาธิการยูเอ็นจะต้องส่งรายงานว่าด้วยการบังคับใช้มาตรการปิดล้อมด้านอาวุธและข้อจำกัดอื่นๆ ต่ออิหร่านให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นรับทราบปีละ 2 ครั้ง ตามเงื่อนไขของข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ปี 2015
อาเดล อัล-จูเบร์ รัฐมนตรีช่วยฝ่ายกิจการต่างประเทศของซาอุฯ ให้สัมภาษณ์สื่อที่นิวยอร์กเมื่อเดือน ก.ย. ว่า ริยาดจะปรึกษาหารือกับชาติพันธมิตรว่าจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างไรต่อไป
