รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – หนังสือพิมพ์ “โกลบอลไทมส์” ในเครือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนรายงานในวันอาทิตย์ (1 ธ.ค.) ว่า ปักกิ่งถือเรื่องที่เรียกร้องให้วอชิงตันต้องยกเลิกมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้าแดนมังกร เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกสุดที่จะต้องบรรจุเอาไว้ในข้อตกลงการค้าเฟส 1 ใดๆ ก็ตามซึ่งสองประเทศตกลงกัน ข่าวนี้ปรากฏออกมาขณะที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำดีลกันได้สำเร็จ
“แหล่งข่าวหลายรายที่เป็นผู้รู้เรื่องโดยตรงเกี่ยวกับการเจรจาการค้า บอกกับโกลบอลไทมส์เมื่อวันเสาร์ว่า สหรัฐฯต้องยกเลิกการขึ้นภาษีศุลกากรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน, ไม่ขึ้นภาษีศุลกากรตามแผนการซึ่งวางเอาไว้, โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างกัน” รายงานข่าวชิ้นนี้ระบุ
โกลบอลไทมส์ ซึ่งตีพิมพ์โดย เหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์เดลี่) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังได้อ้างแหล่งข่าวที่ไม่มีการระบุอัตลักษณ์อีกรายหนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับการเจรจาหารือ กล่าวว่าพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯกำลังต่อต้านข้อเรียกร้องเช่นนี้ เนื่องจากการขึ้นภาษีศุลกากรกลายเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวของพวกเขาในสงครามการค้า และการยอมยกเลิกใช้อาวุธนี้หมายถึง “การยอมจำนน”
เมื่อวันอังคาร (26 พ.ย.) ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แถลงว่าวอชิงตันกำลังอยู่ใน “อาการเกร็งตัวครั้งท้ายๆ” ก่อนการคลอดออกมาของดีลเฟส 1 ซึ่งมุ่งหมายที่จะถอดชนวนสงครามการค้ากับจีนที่ดำเนินมา 16 เดือน โดยที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้แสดงความปรารถนาที่จะให้เกิดข้อตกลงทางการค้า จากนั้นผู้เจรจาการค้าระดับท็อปของทั้งสองประเทศก็ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์อีกครั้ง และเห็นพ้องกันที่จะทำงานกันเพื่อไปในประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่
ทางด้าน ส.ว.ชัค แกรสลีย์ ประธานคณะกรรมาธิการการเงินของวุฒิสภาสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (26 พ.ย.) ว่า ปักกิ่งได้เชื้อเชิญหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายอเมริกัน ซึ่งได้แก่ โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กับ สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ให้เดินทางไปเจรจากับฝ่ายจีนที่กรุงปักกิ่ง
แกรสลีย์บอกด้วยว่า ไลต์ไฮเซอร์ กับ มนูชิน มีความยินดีที่จะเดินทางไป ถ้าพวกเขามองเห็น “โอกาสอันแท้จริงที่จะทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายกันได้”
แหล่งข่าวที่ทราบเรื่องการเจรจาการค้ารายหนึ่งยังบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯอาจเดินทางไปจีนภายหลังช่วงเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯแล้ว
กระนั้น เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พวกผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและบุคคลที่ใกล้ชิดทำเนียบขาว ได้บอกกับรอยเตอร์ว่า การลงนามในข้อตกลงการค้า เฟส 1 อาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จนกระทั่งภายหลังปีใหม่ เนื่องจากฝ่ายจีนกดดันให้สหรัฐฯยอมถอนมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ในตอนแรกๆ ทีเดียว เป็นที่คาดหมายกันว่าข้อตกลงนี้จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ได้ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน
ครั้นแล้วเมื่อวันพุธ (27 พ.ย.) ทรัมป์ได้ลงนามประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับฮ่องกงรวม 2 ฉบับ ซึ่งผ่านรัฐสภาอเมริกันออกมาอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ โดยกฎหมายทั้งสองมีเนื้อหาสำคัญ คือมุ่งบังคับใช้มาตรการลงโทษเหล่าเจ้าหน้าที่จีนและเจ้าหน้าที่ฮ่องกงซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง และกำหนดให้รัฐบาลอเมริกันต้องทบทวนสถานะของฮ่องกง ในการได้รับความอนุเคราะห์เป็นพิเศษทางการค้าจากสหรัฐฯเป็นประจำทุกปี
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ฝ่ายจีนได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างกราดเกรี้ยว ทั้งด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำปักกิ่งไปประท้วง โดยบอกว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างร้ายแรง และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รวมทั้งเรื่องนี้จะบ่อนทำลายความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่จีนได้เคยข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องการใช้ “มาตรการตอบโต้” แต่ก็ไม่ระบุเจาะจงว่าคืออะไร
ในการแถลงข่าวประจำวันตามปกติเมื่อวันพฤหัสบดี (28 พ.ย.) เกิ่ง ส่วง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบคำถามที่ว่าการลงนามบังคับใช้กฎหมายของทรัมป์ จะส่งผลต่อการเจรจาการค้าอย่างไรหรือไม่ โดยกล่าวว่า มันจะบ่อนทำลาย “ความร่วมมือกันในด้านที่สำคัญๆ”
ครั้นเมื่อโฆษกของกระทรวงพาณิชย์จีน ถูกถามด้วยคำถามคล้ายๆ กัน เขาก็ตอบเพียงว่าเขาไม่มีข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ที่จะแจ้งให้ทราบ