เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯในวันจันทร์(6ส.ค.) ย้ำว่าเขายังคงเปิดกว้างสำหรับหล่อหลอมข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่กับอิหร่าน ในขณะที่เขายืนยันว่าวอชิงตันจะเดินหน้ากลับมาคว่ำบาตรเตหะรานเต็มรูปแบบอีกครั้งตั้งแต่วันอังคาร(7ส.ค.) เป็นต้นไป
แม้มีคำวิงวอนจากฝ่ายอื่นๆในข้อตกลง แต่ ทรัมป์ ถอนสหรัฐฯออกมาในเดือนพฤษภาคม อ้างว่ารัฐบาลอิหร่านไม่ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ความเคลื่อนไหวมุ่งร้ายทั่วภูมิภาค
"ผมยังคงเปิดกว้างสำหรับบรรลุข้อตกลงที่ครอบคลุมกว่าเดิม เพื่อจัดการกับความเคลื่อนไหวมุ่งร้ายของรัฐบาลอย่างเต็มพิกัด ในนั้นรวมถึงโครงการขีปนาวุธและการสนับสนุนก่อการร้าย" ทรัมป์ระบุในถ้อยแถลง
ขั้นแรกของมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯที่กำหนดต่ออิหร่านจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร โดยตัดขาดเตหะรานจากการเข้าซื้อธนบัตรสหรัฐฯ และเล่นงานอุตสาหกรรมสำคัญๆอย่างเช่นรถยนต์และพรม
ส่วนในขั้นสอง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 พฤศจิกายน จะเป็นการปิดกั้นการขายน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งจะก่อความเสียหายรุนแรงกว่า แม้หลายประเทศในนั้นรวมถึงจีน, อินเดียและตุรกี บ่งชี้ว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจยุติการซื้อพลังงานจากเตหะรานทั้งหมดก็ตาม
ทรัมป์เคยเรียกข้อตกลงนานาชาติว่าด้วยเรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน ว่าเป็นข้อตกลงแย่ๆและเป็นข้อตกลงฝ่ายเดียว "มันล้มเหลวในการบรรลุจุดประสงค์พื้นฐานของการปิดกั้นทุกเส้นทางไม่ให้อิหร่านมุ่งหน้าสู่การมีระเบิดนิวเคลียร์ มันโยนเงินสดเลี้ยงชีพแด่ผู้นำเผด็จการฆาตกรที่ยังคงเดินหน้าแผ่ลามความรุนแรง ความยุ่งเหยิงและการนองเลือด"
อย่างไรก็ตาม หลังใช้ถ้อยคำดุเดือดมานานหลายเดือน ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดแก่พวกนักสังเกตการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการเสนอประชุมซัมมิตอย่างไม่มีเงื่อนไขกับประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี
กระนั้น โมฮัมหมัด จาาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านบ่งชี้ว่าการประชุมซัมมิตดังกล่าวคงมีโอกาสน้อยนิด โดยบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเจรจากับชายที่ฉีกข้อตกลงหนึ่งซึ่งอิหร่านและมหาอำนาจโลกอื่นๆใช้เวลายาวนานหลายชั่วโมงในการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์
ทรัมป์ เตือนว่าภาคธุรกิจและกลุ่มบุคคลต่างๆที่ยังคงเดินหน้าทำงานกับอิหร่าน อาจเสี่ยงเผชิญกับผลลัพธ์ร้ายแรง "เราเรียกร้องทุกประเทศใช้มาตรการต่างๆเพื่อความชัดเจนว่ารัฐบาลอิหร่านจะต้องเลือกระหว่างเปลี่ยนพฤติกรรมก่อความไร้เสถียรภาพ หยุดคุกคาม แล้วหันมาเป็นหนึ่งเดียวกับโลก หรือไม่ก็ดำดิ่งสู่เส้นทางถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจต่อไป"