รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ถูกผู้นำสภาคองเกรสรวมถึงคนในพรรครีพับลิกันวิจารณ์ว่า ‘อ่อนแอ’ ที่ไม่กล้าประณามรัสเซียกรณีแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะยืนแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน หลังประชุมซัมมิตที่กรุงเฮลซิงกิเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.)
ทรัมป์ ระบุว่า ตนไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ มากไปกว่าคำยืนยันของผู้นำหมีขาวว่ารัสเซียไม่เคยก้าวก่ายศึกเลือกตั้งในอเมริกา
คำพูดเช่นนี้เรียกเสียงประณามอื้ออึ้งจากสมาชิกสภาคองเกรส หลายคนระบุว่า ทรัมป์ นั้น ‘อ่อนแอ’ และ ‘ขี้ขลาดตาขาว’
ส.ว.จอห์น แม็กเคน วีรบุรุษสงครามเวียดนาม และอดีตผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน วิจารณ์การประชุมซัมมิตครั้งนี้ว่าเป็น “ความผิดพลาดที่น่าเศร้า” และ ทรัมป์ “ไม่พยายามปกป้องสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ นั่นคือสาธารณรัฐแห่งเสรีชนที่พร้อมจะอุทิศตัวเพื่อปกป้องเสรีภาพทั้งในบ้านเกิดและต่างแดน”
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (13) อัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์ ได้ประกาศตั้งข้อหาเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซีย 12 คนว่าเป็นผู้ลงมือแฮกเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของพรรคเดโมแครต และเผยแพรข้อมูลบั่นทอนคะแนนนิยมของฮิลลารี คลินตัน เพื่อช่วยให้ ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016
หลังการประชุมซัมมิตจบลง แพต ทูมีย์ ส.ว.รีพับลิกัน และชัค ชูเมอร์ แกนนำ ส.ว.เดโมแครต ได้เสนอให้สหรัฐฯ ประกาศบทลงโทษใหม่ๆ ต่อรัสเซีย
ทูมีย์ เสนอว่า หาก ปูติน ไม่ช่วยสหรัฐฯ เอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ถูกครหาว่าเจาะข้อมูลพรรคเดโมแครต “สหรัฐฯ ก็ควรใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมที่รุนแรงยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่าวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะเห็นด้วยกับแผนนี้หรือไม่ และมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่จะมีเนื้อหาเป็นอย่างไร
ความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกเรียกได้ว่าถึงจุดต่ำสุดในยุคหลังสงครามเย็น โดยนอกจากข้อครหาแทรกแซงเลือกตั้งแล้ว ทั้งสองชาติยังมีความบาดหมางกรณีนาโตส่งกองกำลังเข้าประชิดรั้วบ้านหมีขาว รวมถึงเรื่องที่รัสเซียช่วงชิงคาบสมุทรไครเมียไปจากยูเครนเมื่อปี 2014 และให้การสนับสนุนรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย
การที่ ทรัมป์ แสดงท่าทีฝักใฝ่รัสเซียทำให้เขาถูกวิจารณ์และตั้งคำถามมากมายโดยสภาคองเกรส ซึ่งเมื่อปี 2017 ได้มีมติรับรองมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียด้วยคะแนนเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์
โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สายเดโมแครต ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับถ้อยแถลงของ ทรัมป์ ว่า “การสรรเสริญเยินยอผู้นำเผด็จการไม่ได้ช่วยให้อเมริกาได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น มีแต่จะทำให้เราปลอดภัยน้อยลง”
แดต โคตส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่ง ทรัมป์ แต่งตั้งเองกับมือ ก็ออกมายืนยันข้อสรุปของประชาคมข่าวกรอง
“เราได้สรุปอย่างชัดเจนว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2016 และยังพยายามที่จะบั่นทอนระบอบประชาธิปไตยของเราเรื่อยมา” โคตส์ กล่าว
พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัดรีพับลิกัน เรียกร้องให้ ทรัมป์ “ตระหนักว่ารัสเซียไม่ใช่พันธมิตรของเรา ไม่มีศีลธรรมอันเท่าเทียมระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย ซึ่งยังคงเป็นปฏิปักษ์กับค่านิยมและอุดมการณ์ขั้นพื้นฐานที่สุดของเรา”
ส.ว. ลินด์ซีย์ เกรแฮม จากพรรครีพับลิกัน ระบุว่า ทรัมป์ นั้นพลาดโอกาสที่จะบีบให้รัสเซียแสดงความรับผิดชอบต่อการป่วนเลือกตั้งเมื่อปี 2016 “คำตอบของประธานาธิบดีทรัมป์ จะถูกรัสเซียมองว่าเป็นความอ่อนแอ และยิ่งเป็นการสร้างปัญหามากกว่าแก้ไข”
ระหว่างเดินทางกลับสหรัฐฯ ทรัมป์ ได้พยายามลดกระแสต่อต้านโดยทวีตข้อความว่า “มีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดในบรรดาเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของผม”