เอเจนซีส์ - เมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายจับแยกครอบครัวผู้อพยพเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) โดยระบุว่าไม่อยากที่จะเห็นเด็กๆ ถูกพรากจากอกพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายซึ่งมาจากคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สามีของเธอเอง
นโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” (zero tolerance) ต่อพวกหลบหนีเข้าเมืองส่งผลให้ ทรัมป์ ถูกติเตียนอย่างหนักทั้งจากพรรคเดโมแครตและคนในพรรครีพับลิกันเอง และเสียงต่อต้านก็ยิ่งดังขึ้นเป็นพิเศษในวันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย. ซึ่งเป็น “วันพ่อ” ของสหรัฐอเมริกา
ทรัมป์ ยอมรับว่าตนเองก็อยากจะเลิกใช้นโยบายจับแยกพ่อแม่ลูก แต่อ้างว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากพรรคเดโมแครตเป็นต้นเหตุ ขณะที่นักวิจารณ์จวกกลับว่า ทรัมป์ เองต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้
ภริยาของ ทรัมป์ ซึ่งไม่ออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องการเมืองบ่อยนัก เรียกร้องให้ทั้ง 2 พรรคร่วมกันผลักดันกฎหมายปฏิรูปคนเข้าเมืองเพื่อยุติปัญหา
“นาง ทรัมป์ รู้สึกรังเกียจที่เห็นเด็กๆ ถูกแยกออกจากครอบครัว และหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อให้การปฏิรูปกฎหมายคนเข้าเมืองประสบความสำเร็จ” สเตฟานี กริสแฮม โฆษกของ เมลาเนีย ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น
“เธอเชื่อว่าสหรัฐฯ ควรเป็นประเทศที่มีขื่อแป แต่ก็ต้องปกครองด้วยหัวใจเช่นกัน”
ต่อมาไม่นาน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความว่า “พวกเดโมแครตควรร่วมมือกับคนของรีพับลิกันและออกมาตรการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัยชายแดน อย่ารอจนถึงวันเลือกตั้ง เพราะพวกคุณจะต้องเป็นฝ่ายแพ้!”
นโยบายกีดกันผู้อพยพถือเป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งมากที่สุดให้กับสหรัฐอเมริกาในยุคของ ทรัมป์
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ยอมรับว่า ภายในช่วง 6 สัปดาห์ระหว่างวันที่ 19 เม.ย. - 31 พ.ค. ที่ผ่านมา มีเยาวชนเกือบ 2,000 คนถูกจับแยกจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองซึ่งตำรวจตระเวนชายแดน(US Border Patrol) ได้ควบคุมตัวเอาไว้
สถิติการ “จับแยก” เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เจฟฟ์ เซสชันส์ ออกมาประกาศว่า ผู้ที่ข้ามพรมแดนเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายทุกรายจะต้องถูกจับกุม ไม่ว่าจะยื่นคำร้องขอลี้ภัยหรือไม่ก็ตาม
เนื่องจากเด็กๆ ไม่สามารถถูกส่งไปกักขังรวมกับผู้ใหญ่ได้ พวกเขาจึงต้องถูกแยกออกมา
สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนก็เห็นว่า ทรัมป์ สมควรยกเลิกนโยบายที่โหดร้ายเช่นนี้
“ความตั้งใจของรัฐบาลก็คือ จับแยกลูกๆ ออกจากพ่อแม่ เพื่อส่งสัญญาณเตือนว่าหากคุณพาลูกหลานข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ เด็กๆ เหล่านั้นจะถูกพรากไปจากคุณ” ส.ว.ซูซาน คอลลินส์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส
“นื่คือการทรมานจิตใจเด็กซึ่งเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ และขัดต่อค่านิยมของสหรัฐอเมริกา”
ทั้งนี้ คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จะทำการโหวตร่างกฎหมายคนเข้าเมือง 2 ฉบับภายในสัปดาห์หน้า โดยฉบับแรกเป็นร่างกฎหมายฮาร์ดไลน์จาก บ็อบ กู๊ดแลตเต ประธานคณะกรรมการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎร ส่วนฉบับที่สองเป็นร่างกฎหมายประนีประนอมจากแกนนำรีพับลิกันซึ่งเสนอให้จำกัดจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองถูกกฎหมาย และยกเลิกนโยบายแยกเด็กจากพ่อแม่
ลอรา บุช ภริยาของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้แสดงความคิดเห็นผ่านบทความในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า เธออาศัยอยู่ในรัฐชายแดน และเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปกป้องพรมแดนสหรัฐฯ อย่างมั่นคงเข้มแข็ง
“แต่นโยบายความอดทนเป็นศูนย์มันช่างป่าเถื่อนและขัดต่อศีลธรรม และทำให้ดิฉันหัวใจสลาย” นาง บุช กล่าว พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอนึกถึง “การเคลื่อนย้ายและกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ”