รอยเตอร์ - ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือไม่ได้ทำให้จีนคิดที่จะจัดการประชุมซัมมิตกับไต้หวันในลักษณะเดียวกัน รัฐบาลปักกิ่งระบุวันนี้ (13 มิ.ย.)
ก่อนที่จะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการประชุมซัมมิตครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้นำ คิม จองอึน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา สิงคโปร์เคยทำหน้าที่เจ้าบ้านในการประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กับอดีตประธานาธิบดี หม่า อิงจิ่ว ของไต้หวันมาแล้วเมื่อปี 2015
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จีนเริ่มหันมาใช้นโยบายแข็งกร้าวกับไต้หวันมากขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหญิงไทเปเมื่อปี 2016
ไช่ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party) มีจุดยืนเรียกร้องเอกราชให้ไต้หวัน และปฏิเสธที่จะยอมรับในหลัก “จีนเดียว” (One China)
แม้จะอ้างว่ายังต้องการคงสถานะในปัจจุบัน (status quo) เอาไว้ แต่ ไช่ ก็ยืนยันว่ารัฐบาลของเธอพร้อมปกป้องดินแดนและความเป็นประชาธิปไตยของไต้หวัน และจะไม่ยอมถูกข่มขู่โดยจีน
หม่า เสี่ยวกวง โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน ออกมาปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ว่า การประชุมซัมมิต คิม-ทรัมป์ ซึ่งหลายฝ่ายไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้อาจเป็นตัวอย่างให้ปักกิ่งและไทเปหันมาลดความเป็นปรปักษ์
“ประเด็นเรื่องไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีนโดยแท้ และแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ-สหรัฐฯ” หม่า ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนระหว่างการแถลงข่าว
“ทั้งไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของจีนเดียว และความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบก็ไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐ”
การประชุมซัมมิตระหว่าง สี และ หม่า เมื่อปี 2015 เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่ว่า ทั้งสองฝ่ายไม่เห็นด้วยที่ไต้หวันจะแยกตัวเป็นอิสระ และทั้งปักกิ่ง-ไทเปต่างก็มีศักยภาพและสติปัญญาที่จะจัดการปัญหาของตนเอง ส่วนความสัมพันธ์จะพัฒนาไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของพรรครัฐบาลไต้หวัน
สถานะของไต้หวันถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งสำหรับจีน ซึ่งมองว่าเกาะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "ดินแดนมาตุภูมิอันศักดิ์สิทธิ์” และไม่ปฏิเสธที่จะใช้กำลังทหารดึง “มณฑลทรยศ” แห่งนี้กลับคืนสู่การปกครองของแผ่นดินใหญ่ในอนาคต
จีนเริ่มเสริมกำลังทหารและเปิดการซ้อมรบเฉียดใกล้ไต้หวันมากขึ้นในปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารยอมรับว่า กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบในดุลอำนาจกับไต้หวัน และเกาะแห่งนี้เสี่ยงที่จะถูกกองทัพแดนมังกรปิดล้อมได้ทุกเมื่อหากสหรัฐฯ ส่งกองกำลังเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน