เอเอฟพี - หนังสือพิมพ์ในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ในวันนี้ (13 มิ.ย.) ตอบสนองด้วยมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังต่อการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ คิม จองอึน ในสิงคโปร์ ถึงแม้ว่าหนังสือพิมพ์สายอนุรักษนิยมฉบับหนึ่งประณามข้อตกลงจาการประชุมว่า “ไร้สาระ” ก็ตาม
หนังสือพิมพ์สายกลางฮันกุกตั้งข้อสังเกตว่า ถ้อยแถลงร่วมหลังการประชุมซัมมิทที่ลงนามโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำเกาหลีเหนือเมื่อวานนี้ (12) ละเว้นข้อเรียกร้องของวอชิงตันที่ต้องการให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่าง “สมบูรณ์ พิสูจน์ได้ และรื้อฟื้นไม่ได้อีก” และขาดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย
ถ้อยแถลงดังกล่าวกลับมอบหมายเพียงให้เปียงยาง “พยายามทำการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีให้สำเร็จ”
“ในแง่ของประเด็นสำคัญนี้ มันดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามความคาดหมาย” ฮันกุก ระบุในบทบรรณาธิการ
แต่ฮันกุกเสริมว่า การดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างเป็นรูปธรรมจะถูกหารือในระหว่างการเจรจาหลังจากนี้ และว่าการเจรจาเรื่องคาบสมุทรเกาหลีที่ปลอดนิวเคลียร์และสันติภาพถาวรระหว่างโซลและเปียงยางเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น
หนังสือพิมพ์ธุรกิจ จุนกัง มีมุมมองแง่บวกอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่ากรอบเวลาการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือจะยังคงคลุมเครือก็ตาม
“เราไม่อาจตัดสินว่าการประชุมครั้งนี้เป็นความล้มเหลว มันเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผู้นำสองชาติศัตรูมาพบกัน ก้าวแรกสู่การยุติความเป็นปฏิปักษ์หลายสิบปีนับตั้งแต่สงครามเกาหลีได้เกิดขึ้นแล้ว” จุนกัง ระบุ
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์สายอนุรักษนิยม โชซุน กล่าวโจมตีข้อตกลงที่เซ็นโดยทรัมป์และคิม
“ข้อตกลงวันที่ 12 มิถุนายนช่างอุกอาจและไร้สาระจนเรายากจะเชื่อสายตาตัวเอง” โชซุน ระบุในบทบรรณาธิการ
โชซุนต่อว่าทรัมป์ที่ให้สัญญายุติการซ้อมรบร่วมประจำปีของสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ก่อนที่เกาหลีเหนือจะเริ่มปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง
มุมมองของโชซุนสอดคล้องกับของพรรคเสรีภาพเกาหลี แกนนำฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยม ซึ่งหัวหน้าพรรค ฮง จุนพยอ ตำหนิว่าการประชุมซัมมิทครั้งนี้เป็น “ความผิดพลาดใหญ่หลวง”
อย่างไรก็ตาม บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้าย ฮันกยอเร ชื่นชมการประชุมซัมมิทครั้งนี้ว่าเป็นการเปิดบทใหม่ให้กับ “การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่” ในความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ
การหยุดซ้อมรบสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ซึ่งเกาหลีเหนือระบุว่า เป็นการฝึกซ้อมเพื่อรุกรานพวกเขา จะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองศัตรูสงครามเย็นและการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของโสมแดง ฮันกยอเร ระบุ