รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ล่าสุดสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงาน เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน เดินทางออกจากกรุงเปียงยางแล้ว คาดจะถึงสิงคโปร์วันนี้ (10 มิ.ย.) ส่วนทีมงานเปียงยางเดินทางมาถึงล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อค่ำวาน (9 มิ.ย.) เตรียมพร้อมด้านรักษาความปลอดภัยกลุ่มนักข่าวต่างชาติฮือฮาดักรอทำข่าวผู้นำคิมด้านหน้าโรงแรมเซนต์รีจิส สิงคโปร์ ด้านผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่รับรองแถลงการณ์ร่วมกลุ่ม G7 เคืองผู้นำแคนาดาเจ้าภาพ แถลงข่าวโจมตีนโยบายขึ้นภาษีศุลกากรสหรัฐฯ
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า สำนักข่าวยอนฮับเกาหลีใต้รายงานล่าสุดว่า ผู้นำเกาหลีเหนือเดินทางออกจากกรุงเปียงยางด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแล้ว โดยมุ่งหน้ามายังสิงคโปร์ คาดว่าจะเดินทางมาถึงวันอาทิตย์ (10) แต่ไม่มีรายละเอียดเพิมเติม
อย่างไรก็ตาม พบว่าประธานาธิบดีคิม จองอึน ใช้เครื่องบินลำอื่นที่ไม่ใช่เครื่องบินลำที่เคยใช้เดินทางไปยังจีน พบว่าเครื่องบินที่นำผู้นำเกาหลีเหนือมายังสิงคโปร์เป็นเครื่องบินคาร์โก
หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สของสิงคโปร์รายงานว่า ทีมเกาหลีเหนือเดินทางล่วงหน้ามายังสิงคโปร์ คาดว่าเดินทางถึงในช่วงเย็นวันเสาร์ (9) เพื่อเตรียมการด้านความปลอดภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับการประชุมซัมมิต โดยผู้นำทั้ง 2 ชาติมีกำหนดจะเดินทางถึงสิงคโปร์วันนี้ (10)
พบว่ารถเบนซ์สีดำและรถตู้สีดำมาหยุดที่โรงแรมเซนต์ รีจิส (The St. Regis) ที่เชื่อว่าผู้นำคิมจะเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบินไฟลท์เรดาร์ 24 กล่าวว่า เครื่องบินแอร์บัส A330 ของสายการบินแอร์ไชน่าบินออกมาจากกรุงเปียงยางมายังสิงคโปร์ โดยร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานแห่งชาติชางฮีของสิงคโปร์เวลา 16.20 น. ***และพบว่ามีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในวันเสาร์ (9) บริเวณโรงแรมเซนต์ รีจิส และโรงแรมแชงกรี-ลา ซึ่งมีรายงานว่าผู้นำสหรัฐฯ จะเข้าพัก***
เครื่องสแกนสัมภาระแลละตรวจจับโลหะถูกติดตั้งบริเวณทางเข้าโรงแรมเซนต์รีจิส สื่อสิงคโปร์รายงาน ในขณะที่แท่งคอนกรีต แบริเออร์กีดขวางด้านความปลอดภัยและกล้องถูกนำมาติดตั้งในช่วงบ่ายวันเสาร์ (9) บริเวณถนนตางลิน (Tanglin) ซึ่งเป็นถนนที่โรงแรมเซนต์รีจิสตั้งอยู่
นอกจากนี้ ทางสิงคโปร์ยังได้มีการจัดส่งทีมผู้เชี่ยวชาญกู้ระเบิดไปยังโรงแรมเซนต์รีจิส ในเวลา 18.00 น. พร้อมกับหน่วยรบพิเศษ ”Gurkhas” ของตำรวจสิงคโปร์ที่มาในชุดนอกเครื่องแบบ
ด้านบริเวณโดยรอบโรงแรมแชงกรี-ลา ที่พักผู้นำสหรัฐฯ พบว่าตำรวจสิงคโปร์ดิดตั้งแบริเออร์กีดขวาง และบริเวณถนนแอนเดอร์สัน (Anderson) พบมีการผุดเต็นท์เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เป็นที่น่าสนใจที่ว่า มีกลุ่มสื่อมวลชนต่างชาติร่วม 30 คนรวมตัวอยู่ด้านหน้าโรวแรมเซนต์รีจิส สถานที่พักประธานาธิบดีคิม แต่กลับพบว่าบริเวณโรงแรมแชงกรี-ลามีความเงียบมากกว่า
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า และในวันเสาร์ (9) หลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯเดินทางออกจากการประชุมกลุ่ม G7 เร็วกกว่ากำหนด พบว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า เขาได้สั่งการให้ตัวแทนสหรัฐฯไม่รับรองแถลงการณ์ร่วมกลุ่ม G7 โดยทางผู้นำสหรัฐฯ ได้กล่าวไปถึงการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด ที่ได้ประกาศว่า จะไม่ยอมให้แคานาดาถูกผลักไปมา ซึ่งทรัมป์ชี้ว่า “เป็นคำกล่าวที่ไม่มีความสัจจริงและอ่อนแอ”
ในทวิตเตอร์ทรัมป์กล่าวว่า “ระหว่างการประชุม @G7 ของพวกเรา นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด ทำตัวเงียบหงิม และอ่อนมาก แต่กลับออกแถลงข่าวหลังผมเดินทางกลับออกไปแล้วว่า ภาษีศุลกากรสหรัฐฯนั้นเป็นเหมือนการดูหมิ่น และเขาจะไม่ยอมให้ถูกผลักไปมา เป็นคำกล่าวที่ไม่มีความสัจจริงและอ่อนแอ ภาษีศุลกากรของเราตอบโต้กับการขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์นม 250% ของเขา”
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานว่า ก่อนหน้าบรรดาผู้นำชาติสมาชิก G7 เชื่อว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้จนกระทั่งผู้นำสหรัฐฯ ทวีตโจมตีนายกรัฐมนตรีแคนาดา
ทั้งนี้ บรรดานักข่าวที่เดินทางร่วมไปกับทรัมป์บนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์ได้รับคำบอกเล่าในตอนแรกว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจเข้าร่วมในแถลงการณ์ร่วมของกลุ่ม G7 เพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดยืนความสมานฉันท์ท่ามกลางความเห็นแตกแยกอย่างลึกซึ้งด้านการค้าระหว่างทรัมป์และอีก 6 ชาติผู้นำ
และไม่กี่นาทีก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งข้อความทางทวิตเตอร์โจมตีผู้นำแคนาดา สื่ออังกฤษชี้ว่า จอห์น โบลตัน (John Bolton) ดูเหมือนจะเข้าร่วมด้วยการส่งข้อความกล่าวถากถางการประชุมกลุ่ม G7 ที่เพิ่งเข้าร่วมว่า “ เป็นแค่การประชุม G7 อีกครั้งที่ประเทศอื่นๆ คาดหวังว่าอเมริกาจะเป็นธนาคารของพวกเขา แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศชัดในวันนี้ว่าไม่มีอีกต่อไป”
ทั้งนี้ พบว่าโบลตันได้ร่วมการประชุมนอกรอบกับตัวแทนเกาหลีเหนือ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้ายของ G7 แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของเขาในแนวทางที่ไม่คำนึงถึงภาคีร่วมในนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ
เดอะการ์เดียนชี้ว่า ทวีตเตอร์ที่ออกมาจากทรัมป์ยังได้ทำลายความหวังของผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศส ที่ในตอนแรกคนทั้งสองคาดว่าจะประสบความสำเร็จในการทำให้ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปนั้นผ่านอย่างราบรื่น โดยในแถลงการณ์ร่วมสุดท้ายกลุ่ม G7 กล่าวว่า ผู้นำจากชาติสหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และญี่ปุ่น นั้นเห็นตรงกันในความจำเป็นของการโปร่งใส เสรี การมีค้าที่มีผลประโยชน์ร่วม และความสำคัญในการต่อสู้กับการกีดกันทางการค้า
ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่ามีความเห็นต่างในแง่สภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกและแนวทางการต่อสู้ที่ต่างออกไปจากอีก 6 ชาติ
>