รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ลงนามในร่างงบประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผ่านความเห็นขอบของสภาคองเกรสมาสดๆ ร้อนๆ สิ้นสุดความหวาดหวั่นหลังจากก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาเพิ่งขู่วีโต้ข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งจะทำให้หน่วยงานรัฐบาลเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์
ในสถานการณ์ความปั่นป่วนล่าสุดที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้โยนเข้าสู่ทำเนียบขาว,สภาคองเกรสและหน่วยงานรัฐบาลกลาง ทรัมป์ขู่ผ่านทวิตเตอร์ในตอนเช้าวันศุกร์(23มี.ค.) ว่าเขาจะล้มร่างกฎหมายงบประมาณ เนื่องจากไม่ได้มีการระบุถึงการต่ออายุโครงการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ (DACA) และไม่มีการเพิ่มงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงตามแนวชายแดนเม็กซิโก
แม้เบื้องต้นเชื่อกันว่า ทรัมป์ จะลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณก่อนเส้นตายตอนเที่ยงคืนเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลปฏิบัติงานได้ต่อไป แต่ ทรัมป์ ใช้คำขู่นี้ดึงดูดความสนใจมายังความรู้สึกไม่พอใจของเขาต่อประเด็นคนเข้าเมือง แม้เขาบอกว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายลำดับต้นๆของเขาก็ตาม
"มีหลายอย่างที่ผมไม่พอใจในร่างกฎหมายฉบับนี้" ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าว "ผมจะไม่มีวันลงนามในร่างกฎหมายลักษณะนี้อีกแล้ว"
"ผมกำลังพิจารณาวีโต้งบประมาณรายจ่ายจากความจริงที่ว่าพรรคเดโมแครตละเลยที่จะระบุถึงผู้มีสิทธิ์จำนวนมากกว่า 8 แสนคนที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการ DACA และไม่มีการให้งบประมาณสนับสนุนโครงการสร้างกำแพงกั้นชายแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการป้องกันประเทศของเรา" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
คำขู่วีโต้ของทรัมป์ สร้างความประหลาดใจแม้กระทั่งกับเหล่าผู้ช่วยของประธานาธิบดีเอง เข่นเดียวกับสมาชิกรีพับลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฏร กระนั้นไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพวกผู้นำรีพับลิกันจริงจังกับคำขู่ของทรัมป์แค่ไหน โดยทั้ง พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและ มิตช์ แม็คคอนเนลล์ แกนนำวุฒิสภา ต่างไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ทั้งนี้หากปธน.ทรัมป์ไม่ได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนกำหนดเส้นตายในเวลาเที่ยงคืนวันศุกร์(23มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น สหรัฐฯฯก็จะเผชิญกับการปิดหน่วยงานของรัฐ (ชัตดาวน์) เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้
วุฒิสภาลงมติอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียง 65 ต่อ 32 หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดี(22มี.ค.) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ลงมติอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 256 ต่อ 167
ร่างงบประมาณฉบับนี้ช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯมีงบประมาณในการบริหารประเทศไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน โดยจะมีการเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร และเพิ่มงบประมาณสำหรับการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน รวมทั้งเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการในการควบคุมการขายอาวุธปืน และปรับปรุงระบบความปลอดภัยในโรงเรียน
