รอยเตอร์ - ความบาดหมางระหว่างเกาหลีใต้ กับ ญี่ปุ่น ปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกในวันพุธ (27 ธ.ค.) ภายหลังรัฐบาลโสมขาว แถลงว่า ข้อตกลงระหว่างโซลกับโตเกียวเพื่อยุติปัญหาทาสกาม เมื่อปี 2015 นั้นล้มเหลว ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของบรรดาหญิงชาวเกาหลีซึ่งถูกบังคับให้เป็น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” บำบัดความใคร่ทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางด้านรัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยสวนทันควัน ว่า เกาหลีใต้กำลังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยูในสภาพ “ไม่สามารถบริหารจัดการได้”
เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างกันอันขมขื่น ซึ่งก็รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นเข้าปกครองเกาหลีเป็นอาณานิคมอยู่หลายสิบปีกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ แต่เวลานี้ทั้งคู่ต่างเป็นชาติพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ และแสดงบทบาทหลักในความพยายามของนานาชาติที่จะเข้ารั้งบังเหียนตีกรอบโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
คณะทำงานซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ชุดปัจจุบันแต่งตั้งขึ้นในเดือน ก.ค. เพื่อสอบสวนขั้นตอนการเจรจาทำข้อตกลงระหว่างโสมขาวกับแดนอาทิตย์อุทัยฉบับปี 2015 ดังกล่าว ได้เผยแพร่ผลสอบออกมาให้สาธารณชนรับทราบในวันพุธ (27) จากนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ กัง คยุง-วา ก็ออกมากล่าวขออภัยที่เกิดข้อตกลงฉบับนี้ขึ้นมา
ทั้งนี้ ผลการสอบสวนของคณะกรรมการสรุปว่า การโต้แย้งกันในเรื่อง “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ซึ่งเป็นคำที่ญี่ปุ่นเรียกเด็กสาวและผู้หญิงจำนวนเป็นหมื่นๆ คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี ที่ถูกบังคับให้ทำงานในซ่องของทหารญี่ปุ่นระหว่างสงคราม ยังไม่อาจ “ได้รับการแก้ไขคลี่คลายไปโดยพื้นฐาน” เพราะข้อเรียกร้องของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องการได้รับการชดเชยตามกฎหมายนั้น ยังคงไม่ได้รับการปฏิบัติ
เวลานี้เกาหลีใต้ต้องการให้ญี่ปุ่นแสดงความรับผิดชอบทางกฎหมาย และจัดการจ่ายค่าชดเชยต่างๆ อย่างเหมาะสม
ทว่า ทางด้านรัฐมนตรีต่างประเทศ ทาโร โคโนะ ของญี่ปุ่นออกมาแถลงในวันพุธ (27) เช่นกัน ยืนยันว่า ข้อตกลงที่ทำกันไว้ในปี 2015 ซึ่งมีการตั้งกองทุนมูลค่า 1,000 ล้านเยน (8.8 ล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยเหลือเหยื่อด้วยนั้น เป็นผลลัพธ์จาก “การเจรจากันอย่างถูกต้องชอบธรมตามกฎหมาย” แล้ว พร้อมกับเตือนว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองเกิดความยุ่งยากซับซ้อน
“ถ้า (เกาหลีใต้) พยายามแก้ไขข้อตกลงซึ่งกำลังถูกนำมาปฏิบัติกันอยู่แล้วเช่นนี้ ย่อมจะทำให้สายสัมพันธ์ที่ญี่ปุ่นมีอยู่กับเกาหลีใต้อยู่ในสภาพไม่สามารถบริหารจัดการได้ และนั่นก็จะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” โคโนะกล่าวในคำแถลงของเขา
ในส่วนของรัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้นั้น เธอกล่าวขออภัย “ที่เพิ่มบาดแผลในใจของเหยื่อ ครอบครัว สังคม ตลอดจนกลุ่มคนอื่นๆ ที่สนับสนุนพวกเขา เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอต่อความต้องการของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหลักสากลในการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน”
เธอบอกด้วยว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะทบทวนผลการสอบสวนนี้ และแปลให้กลายเป็นนโยบาย หลังจากทำการปรึกษาหารือกับบรรดาเหยื่อและกลุ่มประชาสังคมซึ่งให้การสนับสนุนเหยื่อแล้ว
ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงปี 2015 ซึ่งลงนามรับรองโดยอดีตประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย แห่งเกาหลีใต้ และนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น รัฐบาลโตเกียวได้ขออภัยต่อบรรดาสตรีเพื่อการผ่อนคลายชาวเกาหลี และมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือ
ตามข้อตกลงนี้ รัฐบาลทั้งสองยังเห็นพ้องกันว่า ข้อตกลงนี้จะเป็น “ฉบับสุดท้ายที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้” หากทั้ง 2 ฝ่ายได้ปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างถูกต้องสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี มุน แจอิน คนปัจจุบันของเกาหลีใต้ ระบุตั้งแต่ตอนที่เขารณรงค์หาเสียงว่า ข้อตกลงฉบับนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวเกาหลีใต้
ทางด้าน แอนดริว ฮอร์วัต ศาสตราจารย์อาคันตุกะแห่งมหาวิทยาลัยโจไซ อินเตอร์เนชั่นแนล ในญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่าข้อตกลงปี 2015 นั้นมีความบกพร่องผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เนื่องจากล้มเหลวไม่สามารถสร้างความปรองดองที่แท้จริงขึ้นมาได้
“ข้อตกลงนี้ไม่ใช่การปรองดอง แต่เป็นข้อตกลงที่จะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอีกต่อไป” ฮอร์วัต กล่าว
ขณะที่ ลี ซุงฮวาน อาจารย์ด้านญี่ปุ่นศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมยุง ในเกาหลีใต้ บอกว่า รัฐบาลประธานาธิบดีมุน พูดเอาไว้ว่าจะหาทางเดินนโยบายแบบ 2 แทร็กกับญี่ปุ่น ด้วยการแยกระหว่างเรื่องการดำเนินการในประเด็น “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” กับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในการเผชิญภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ แต่ญี่ปุ่นอาจจะไม่เห็นด้วยกับการแยกเช่นนี้