เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพุธ(20ธ.ค.) ยกย่องชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ หลังสภาคองเกรสผ่านแผนปฏฺิรูปภาษีครั้งมโหฬารของรีพับกัน มอบความสำเร็จด้านกฎหมายสำคัญหนแรกของเขานับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเกือบ 1 ปีก่อน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติไฟเขียวแผนยกเครื่องภาษี 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะกระทบต่อทุกแง่มุมของเศรฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการปรับลดภาษีนิติบุคคลอย่างรุนแรงและลดภาษีบุคคลธรรมดารายบุคคลชั่วคราว
"ผมเคยสัญญากับประชาชนชาวอเมริกา ว่าจะปรับลดภาษีครั้งใหญ่และสวยงามเพื่อเป็นของขวัญคริสต์มาส" ทรัมป์กล่าวในถ้อยแถลงหลังสภาคองเกรสยกมือรับร่างกฎหมายดังกล่าว "ด้วยร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบขั้นสุดท้ายแล้ว นี่คือความชัดเจนที่พวกเขาได้รับ"
ความพยายามปฏิรูปกฎหมายภาษีครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯในรอบหลายทศวรรษ ที่ลากยาวมานานหลายเดือน ต้องใช้เวลานานขึ้นอีก 1 วันจากเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่จำเป็นต้องให้วุฒิสภาตัดบทบัญญัติ 3 ข้อ ออกจากร่างกฎหมายก่อนเข้าสู่การเห็นชอบเมื่อคืนที่ผ่านมา
หลังเที่ยงคืนวันอังคาร(19ธ.ค.) ไม่นาน วุฒิสภาลงมติด้วยคะแนน 51 ต่อ 48 รับรองร่างกฎหมายดังกล่าวที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในวันเดียวกัน ด้วยคะแนน 227-203 อย่างไรก็ตาม สภาสูงต้องส่งร่างกลับไปให้สภาผู้แทนฯ โหวตอีกครั้ง เนื่องจากมีการตัดบทบัญญัติ 3 ข้อในร่างกฎหมายที่ขัดกับหลักเกณฑ์ของวุฒิสภาออก
ท้ายที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฏรในวันพุธ(20ธ.ค.) ก็ลงมติผ่านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ด้วยคะแนน 224 ต่อ 201 เสียง พร้อมกับส่งไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทรัมป์ ต้องพึ่งพิงสมาชิกรีพับลิกันอย่างมากในความพยายามผลักดันแพ็กเกจภาษีอันเป็นที่ถกเถียงอย่างรุนแรงนี้ผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส ด้วยทางรีพับลิกันหวังว่าจะใช้มันเป็นข้อได้เปรียบสำหรับศึกเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามาตรการปฏิรูปภาษีนี้จะไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก โดยผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยซีเอ็นเอ็น พบว่ามีชาวอเมริกา 55 เปอร์เซ็นต์ ต่อต้านแผนภาษี ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเอื้อประโยชน์ให้พวกมหาเศรษฐีมากกว่าชนชั้นกลาง
คณะกรรมาธิการร่วมสภาคองเกรสด้านภาษี(JCT) คาดหมายว่ากฎหมายปฎิรูปภาษี The Tax Cuts and Jobs Act จะเพิ่มหนี้แก่ประเทศอีกเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า แต่ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงเหลือราวๆ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อคิดชดเชยการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว
เดโมแครตประณามว่า มาตรการภาษีฉบับนี้ร่างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พวกมหาเศรษฐี ในนั้นรวมถึงตัวทรัมป์เอง โดยเบียดบังจากยอดขาดดุลของประเทศ รวมทั้งยังทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น และหนี้สาธารณะที่ทรัมป์ให้สัญญาว่า จะทำให้ลดลงหากได้เป็นประธานาธิบดี กลับจะเพิ่มเป็น 20 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า
ภายใต้มาตรการภาษีใหม่ ภาษีเงินได้นิติบุคคลของภาคธุรกิจจะอยู่ในอัตราเพียง 21% จากอัตราเดิม 35% นอกจากนั้นยังมีการลดภาษีมรดกและภาษีผลกำไรจากธุรกรรมในต่างประเทศ ส่วนบุคคลธรรมดาจะจ่ายภาษีลดลงเช่นเดียวกัน แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น
นักวิเคราะห์รวมทั้งพวกที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองต่างบอกว่า โดยรวมแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จากกฎหมายปฏิรูปภาษีคือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรษัทข้ามชาติและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งมหาเศรษฐีและพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชน
ส่วนผู้ที่เสียประโยชน์คือ ครอบครัวที่อยู่ในรัฐที่มีค่าครองชีพและอัตราภาษีสูง รวมทั้งผู้ที่ต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพเอง ทั้งนี้ในอนาคตอันใกล้ แผนการภาษีนี้จะอำนวยประโยชน์ให้ผู้จ่ายภาษีส่วนใหญ่จ่ายน้อยลงก็จริง แต่สิทธิประโยชน์เช่นนี้จะหมดอายุในปี 2025 เท่านั้น
ศูนย์นโยบายภาษี ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตันประเมินว่า เมื่อถึงปี 2027 ผู้เสียภาษี 53% จะต้องจ่ายภาษีแพงขึ้น และคนเหล่านี้จำนวนมากอยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้ต่หำ
กลุ่มคลังสมองนี้ยังระบุว่า ครอบครัวชนชั้นกลางจะจ่ายภาษีลดลงเฉลี่ย 900 ดอลลาร์ในปีหน้า ขณะที่พวกซูเปอร์ริชที่มีเพียง 1% ของประชากรอเมริกันทั้งหมด ได้ยกเว้นภาษี 51,000 ดอลลาร์