รอยเตอร์ - วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปีเมื่อช่วงกลางดึกของวันนี้ (20 ธ.ค.) ซึ่งทำให้ชัยชนะทางกฎหมายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ใกล้เป็นจริง ทว่าเนื้อหาบางส่วนที่ถูกแก้ไขทำให้จำเป็นต้องตีร่างกฎหมายกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาซ้ำอีกครั้ง
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งรีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้เห็นชอบร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี 227-203 เสียงไปเมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร (19) ก่อนจะได้ส่งต่อไปให้วุฒิสภาอภิปรายและมีกำหนดลงมติในวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่วุฒิสภาคนหนึ่งแย้งว่า บทบัญญัติ 3 ข้อในร่างกฎหมายที่ผ่านสภาผู้แทนฯ มาแล้วนั้นขัดต่อหลักเกณฑ์ของวุฒิสภา และจำเป็นต้องมีการตัดทิ้ง ก่อนที่วุฒิสภาจะลงมติสนับสนุนด้วยคะแนนเสียง 51-48
ร่างกฎหมายที่ถูกแก้จะโดนตีกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง และเมื่อได้รับไฟเขียวในขั้นสุดท้ายจึงจะส่งไปให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมาย
พรรคเดโมแครตถือโอกาสวิจารณ์ฝ่ายรีพับลิกันว่าดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีอย่างปกปิดและรีบร้อนเกินเหตุ จนทำให้ร่างกฎหมายถูกตีกลับไปกลับมา
“การลงมติซ้ำในสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลักฐานล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของ GOP ถูกเขียนอย่างสะเพร่าขนาดไหน” แนนซี เพโลซี แกนนำ ส.ส.เดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ระบุในถ้อยแถลง
บทบัญญัติที่จะถูกแก้นั้นเกี่ยวข้องกับบัญชีเงินออมเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กที่เรียนที่บ้าน (home schooling) และเงินบริจาคให้แก่มหาวิทยาลัยเอกชน โดยกลุ่ม ส.ว.เดโมแครตอ้างว่าบทบัญญัติเหล่านี้ขาดคุณสมบัติในแง่ของกระบวนการ
มาร์ก ชอร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของทำเนียบขาว เอ่ยถึงเรื่องที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องโหวตร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีซ้ำอีกครั้งว่า “ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรสำหรับกฎหมายสำคัญระดับนี้”
เนื้อหาสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ก็คือการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีที่เก็บจากบรรดามหาเศรษฐี, ปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีจากบริษัทข้ามชาติ และลดหย่อนภาษีให้แก่ธุรกิจ “pass through” ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียวและห้างหุ้นส่วนต่างๆ นอกจากนี้ยังปรับลดภาษีชั่วคราวให้แก่บางบุคคลและครอบครัว
ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย จะยังคงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือ ที่ระดับ 10%, 12%, 22%, 24%, 32%, 35% และ 37% โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดสู่ระดับ 37% จากระดับ 39.6%
ร่างกฎหมายนี้ยังยกเลิก “the individual mandate” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย “โอบามาแคร์” ที่บังคับให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องซื้อประกันสุขภาพของตัวเอง และอนุญาตให้มีการขุดเจาะน้ำมันในเขตรักษาพันธุสัตว์ป่าแห่งชาติอาร์กติกในรัฐอะแลสกา (Arctic National Wildlife Refuge)