รอยเตอร์ - สหรัฐฯ ถือว่าผู้นำกองทัพพม่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อปฏิบัติการกวาดล้างที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาต้องหนีตายออกนอกประเทศมากกว่า 500,000 คน เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าวอชิงตันจะมีมาตรการตอบโต้พวกผู้นำทหารพม่าหรือไม่
สหรัฐฯ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยนางอองซานซูจี โดยหวังดึงพม่าออกห่างจากวงโคจรของจีน
“ประชาคมโลกไม่อาจนิ่งเฉยต่อความโหดร้ายที่เกิดขึ้น... เราถือว่าผู้นำกองทัพพม่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้ด้วย” ทิลเลอร์สัน ปาฐกถาที่ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ซึ่งเป็นสถาบันคลังความคิดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ “มีความกังวลมากพิเศษ” เกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่า
สมาชิกสภาคองเกรส 43 คนได้เรียกร้องให้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) ต่อเหล่าผู้บัญชาการกองทัพพม่า และเตรียมคว่ำบาตรบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างชาวโรฮิงญา
จดหมายที่กลุ่ม ส.ส.เดโมแครตและรีพับลิกันส่งถึง ทิลเลอร์สัน ระบุว่า รัฐบาลพม่า “ทำเหมือนไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น” และวอชิงตันควรดำเนินการตอบโต้อย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบุคคลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
เหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาบุกโจมตีค่ายทหารและตำรวจเมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. นำมาซึ่งปฏิบัติการกวาดล้างอย่างหนักหน่วงของกองทัพพม่า ซึ่งทำให้มุสลิมโรฮิงญาหลายแสนคนต้องหอบลูกจูงหลานหนีตายออกจากรัฐยะไข่
พวกเขายังอ้างว่ากองกำลังความมั่นคงพม่าก่อเหตุสังหารหมู่ ข่มขืนสตรีโรฮิงญา และเผาบ้านเรือน
ทิลเลอร์สัน ชี้ว่า สหรัฐฯ เข้าใจปัญหาความไม่สงบภายในพม่า แต่กองทัพจำเป็นต้องรักษาระเบียบ และหยุดตอบสนองปัญหาในแบบที่ทำอยู่ รวมถึงเปิดทางเข้าถึงพื้นที่สู้รบ “เพื่อเราจะได้รับรู้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
“หากรายงานที่ออกมาเป็นความจริง ก็จะต้องมีใครบางคนรับผิดชอบ... และเป็นหน้าที่ของผู้นำกองทัพพม่าที่จะต้องตัดสินใจว่า พวกเขาจะมีบทบาทอย่างไรกับอนาคตของประเทศ”
ทิลเลอร์สัน ยืนยันว่า สหรัฐฯ มองพม่าเป็น “รัฐประชาธิปไตยเกิดใหม่ที่สำคัญ” และวิกฤตชาวโรฮิงญาก็คือบททดสอบสำหรับรัฐบาลที่ยังต้องแชร์อำนาจระหว่างกองทัพกับฝ่ายพลเรือน
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรผู้นำทหารพม่า โดยเน้นไปที่บรรดานายพลระดับสูง แต่ก็เกรงว่าบทลงโทษนี้จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจพม่าโดยรวม และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ซูจี กับกองทัพที่ตึงเครียดอยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีก