รอยเตอร์ – ทางการปารีสมีแผนที่จะห้ามไม่ให้รถยนต์น้ำมันเบนซิน และ รถยนต์น้ำมันดีเซล วิ่งในเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกแห่งนี้ภายในปี 2030 ศาลาเทศบาลปารีส เผยในวันนี้ (12)
ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นการเร่งแผนการที่จะทำให้ประทศละทิ้งรถยนต์แบบน้ำมันและเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเมืองมักมีการบังคับใช้การแบนชั่วคราวอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากค่ามลพิษแบบอนุภาคที่สูงขึ้นในอากาศ
ศาลาเทศบาลปารีสระบุในถ้อยแถลงว่า ฝรั่งเศสตั้งเป้าหมายไว้แล้วที่ปี 2040 สำหรับการยุติการใช้รถยนต์ที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และว่า เป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องให้เมืองใหญ่ๆ เริ่มต้นก่อน
“นี่เป็นเรื่องของการวางแผนระยะยาวด้วยยุทธศาสตร์ที่จะลดก๊าซเรือนกระจก” คริสโตเฟอร์ นาจดอฟสกี เจ้าหน้าที่รับผิดชอบนโยบายขนส่งที่สำนักงานนายกเทศมนตรี แอนน์ ฮิดาลโก
“การขนส่งเป็นหนึ่งในตัวผลิตก๊าซเรือนกระจกสำคัญ ดังนั้น เราจึงกำลังวางแผนการออกจากการใช้ยานพาหนะเครื่องยนต์สันดาปหรือยานพาหนะพลังงานฟอสซิลภายในปี 2030” เขาบอกกับสถานีวิทยุฟรานซ์อินโฟ
เมืองหลวงฝรั่งเศสซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกเกมส์ในช่วงฤดูร้อนปี 2024 และเป็นเมืองเจ้าภาพสำหรับข้อตกลงนานาชาติฉบับล่าสุดว่าด้วยนโยบายควบคุมสภาวะโลกร้อน และมีเป้าหมายที่ยุติการใช้รถยนต์ดีเซลในเมืองก่อนจัดโอลิมปิกอยู่แล้ว
ศาลากลางกรุงปารีสซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้วจากการจัดตั้งเขตปลอดรถ วันปลอดรถ และค่าปรับสำหรับผู้ขับขี่ที่เข้าเมืองมาด้วยรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ระบุว่า พวกเขาไม่ได้ใช้คำว่า “แบน” แต่เสนอเส้นตายที่ยืดหยุ่นได้สำหรับการลดการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป
รถยนต์บ้านมีอยู่ราว 32 ล้านคัน ในแดนน้ำหอมซึ่งมีประชากรประมาณ 66 ล้านคน อ้างจากข้อมูลปี 2016 จากอาร์กุส สำนักพิมพ์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์
ชาวปารีสจำนวนมากไม่ได้มีรถยนต์ พวกเขาพึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะอันครอบคลุมและเครือข่ายธุรกิจให้ยืมรถมอเตอร์ไซต์ สกูตเตอร์ และรถยนต์เครื่องยนต์ไฮบริดมลพิษต่ำซึ่งกำลังแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว
อีกเมืองหลายๆ เมืองทั่วโลกกำลังพิจารณาความเคลื่อนไหวเดียวกันนี้และจีน ผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ประกาศว่า พวกเขาจะพยายามทำให้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปหมดไปในเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน