โดย...นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ข้อถกเถียงประการสำคัญของประเทศไทย และโลกนี้สำหรับวาระแห่งโลก คือ เราจะร่วมกันช่วยลดภาวะโลกร้อนกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินคือผู้ร้ายเบอร์หนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ
ตลอดการพัฒนาหลายสิบปีที่ผ่านมา เราต้องยอมรับบทบาทของเชื้อเพลิงฟอสซิลในการพัฒนา ในอดีตฟอสซิลไม่ว่าถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ คือ พลังงานหลักสำหรับโลก นั่นคือ ความจริง แต่วันนี้ความจริงชุดนั้นกำลังจะเปลี่ยนไป และเปลี่ยนเร็วมาก เปลี่ยนเร็วอย่างไม่มีวันหวนกลับ
วาทกรรมที่ว่า “เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหินคือพลังงานหลัก” “ลม - แสงแดด - คลื่น และพลังงานหมุนเวียนต่างๆ คือ พลังงานทางเลือก” สองวาทกรรมนี้ คือ วาทกรรมในกระแสโลกยุคเก่า แท้จริงวันนี้แนวโน้มทั่วโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
“พลังงานหมุนเวียน (Renewable energy) ได้กลายมาเป็นพลังงานทางรอดและกำลังจะผันตนเองเป็นพลังงานกระแสหลัก คือ ต้องเลือกใช้ก่อน เป็นพลังงานที่สะอาด เป็นยาดีที่ราคาตลอดอายุการใช้งานไม่แพงแล้ว เพราะติดตั้งครั้งเดียวแล้วไม่ต้องเสียเงินไปซื้อเชื้อเพลิงเอามาเผามาบำบัดทุกวันเช่นถ่านหิน พลังงานหมุนเวียนไม่ว่าแดด ลม คลื่น ชีวมวล แท้จริงควรและกำลังจะเป็นพลังงานหลักของโลก”
“ถ่านหินในวันนี้ได้กลายมาเป็นพลังงานทางเลือกแล้ว คือเลือกใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ หากเป็นยาก็เป็นยาแรงที่มีผลข้างเคียงมาก เลี่ยงได้ควรเลี่ยง ยังไม่ใช้ก็ไม่ควรเริ่ม หากใช้อยู่แล้วมีทางเลือกอื่นก็ควรเลิกใช้ มิเช่นนั้นร่างกายคือมนุษย์ สิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพจะแย่ลงโดยไม่จำเป็น ถ่านหินแท้จริงในวันนี้จึงมีสถานะเป็นพลังงานทางเลือก ถ่านหินไม่ใช่พลังงานหลักอีกต่อไป”
นั่นหมายความว่า เราต้องติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานจากชีวมวลเหลือใช้ ให้เต็มกำลังความสามารถก่อน ให้ทุกหลังคาบ้านมีโอกาสได้ติดตั้งแผงโซลาร์ ให้เนินเขาที่ลมแรงได้มีการติดตั้งกังหันลม ให้พื้นที่ที่มีกากชีวมวลได้นำมาผลิตไฟฟ้าก่อน เมื่อสุดความสามารถแล้ว จึงหันมาคิดอย่างหนักว่า เรายังมีทางเลือกอื่นไหม เรามีมาตรการลด peak อย่างไรได้อีก เราจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจริงหรือและก่อสร้างที่ไหน จะสร้างกระบวนการร่วมคิดร่วมตัดสินใจของชุมชนนั้นๆอย่างไร” เช่นนี้คือหลักคิดแห่งศตวรรษที่ 21 เพื่อการร่วมปกป้องโลกจากภาวะโลกร้อน
โรงไฟฟ้าถ่านหินยุคใหม่ที่บอกว่าเป็นรุ่น Ultrasupracritical หรือเรียกว่า รุ่นอภิมหาสุดยอดนั้น มวลของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมานั้นไม่ได้ลดลง เพราะสสารในโลกไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เครื่องจักรสามารถเผาถ่านหินได้ละเอียดขึ้น ทำให้ได้ความร้อนเพิ่มขึ้นผลิตไฟได้เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งต่อถ่านหินปริมาณเดียวกันเท่านั้น แต่สำหรับปริมาณ CO2ที่ปล่อยออกจากปล่องอย่างมหาศาลนั้นเหมือนเดิมคือไม่ได้ลดลงเลย หากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ไม่เพิ่มโลกร้อนต้องใช้เทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนที่เรียกว่า Carbon Capture and Storage Technology(CCS)คือจับเอาก๊าซ CO2 ที่จะออกจากปล่องไว้ไม่ให้ออกไป นำมาเก็บเพื่อขนส่งทางท่อหรือทางเรือไปยังโรงงานกำจัดเพื่อแล้วอัดกลับลงไปในโพรงชั้นหินลึกใต้ผิวโลก ไม่ให้ก๊าซโลกร้อนนี้ออกมาในบรรยากาศที่จะทำให้โลกร้อนขึ้น นี่คือเทคโนโลยีที่มีแล้ว แต่แพงมาก เช่นนี้จึงจะพอเรียกได้ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดที่รักษาสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันเป็นรอยต่อแห่งยุคสมัยเราคนไทยควรที่จะก้าวข้ามผ่านยุคเชื้อเพลิงถ่านหินอันสกปรกและเพิ่มก๊าซเรือนกระจกอย่างมหาศาลร่วมกันให้ได้ ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆในสังคมโลก เรามีประชากร 1% ของโลก เราสามารถสร้างประเทศไทยให้เป็นผู้นำโลกด้านพลังงานสะอาดสะอาดได้ แค่เราเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนะของเราเอง รัฐบาลปัจจุบันยังมึนงงเพราะใกล้ชิดพ่อค้าถ่านหิน รัฐบาลจึงพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องและเปลี่ยนช้าซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่หากประชาชนเปลี่ยน ทั่วโลกเปลี่ยน รัฐบาลไทยก็ย่อมจะดื้อดึงทำมึนต่อไปได้อีกไม่นานถ่านหิน คือ อสุรกายที่ควรนอนนิ่งอยู่ใต้โลกอย่างสงบ ไม่ควรที่ใครจะขุดหรือปลุกมันขึ้นมา
ถ่านหินวันนี้คือพลังงานทางเลือกสกปรกที่โลกไม่ควรเลือก พลังงานหมุนเวียนต่างหากคือพลังงานหลักของมนุษยชาติ