เอเอฟพี - เกาหลีเหนือยืนยันว่าได้ยิงขีปนาวุธข้ามเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นจริงเมื่อเช้ามืดวานนี้ (29 ส.ค.) ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกมายอมรับ ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเอกฉันท์ประณามพฤติกรรมก้าวร้าวของโสมแดง แต่ก็ยังไม่มีบทลงโทษใดๆ เพิ่มเติม
การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณยั่วยุครั้งรุนแรง หลังจากที่ผู้นำเกาหลีเหนือเคยขู่จะส่งจรวดไปถล่มเป้าหมายใกล้ๆ เกาะกวมของสหรัฐฯ มาแล้ว และถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนว่าจะตอบโต้ด้วย “ไฟและความโกรธเกรี้ยว”
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือรายงานว่า ผู้นำคิมเดินทางไปให้คำแนะนำในการยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลาง ฮวาซอง-12 ด้วยตนเอง
“มันเดินทางข้ามคาบสมุทรโอชิมะบนเกาะฮอกไกโด และแหลมเอริโมะของญี่ปุ่น ตามเส้นทางที่ได้กำหนดไว้ และสามารถโจมตีเป้าหมายในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือได้อย่างแม่นยำ” เคซีเอ็นเอ ระบุ
กองทัพเกาหลีใต้ระบุวานนี้ (29) ว่าจรวดของเกาหลีเหนือพุ่งแหวกอากาศขึ้นไปถึงระดับความสูง 550 กิโลเมตร และเดินทางไปได้ไกลประมาณ 2,700 กิโลเมตร
ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือเคยยิงขีปนาวุธข้ามเกาะใหญ่ของญี่ปุ่นมาแล้วในปี 1998 และ 2009 แต่ทั้ง 2 ครั้งพวกเขาอ้างว่าเป็นการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร
เคซีเอ็นเอ ยืนยันว่า “การซ้อมยิงครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน” พร้อมระบุว่าผู้นำคิม “พึงพอใจอย่างยิ่ง” ต่อผลการทดสอบ และหลังจากนี้ “จะมีการยิงจรวดนำวิถีลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกอีกในอนาคต”
สื่อโสมแดงเผยด้วยว่า รัฐบาลเปียงยางตั้งใจกำหนดวันทดสอบให้ตรงกับช่วงครบรอบ 107 ปีสนธิสัญญาญี่ปุ่น-เกาหลีเมื่อปี 1910 ซึ่งเป็นเหตุให้คาบสมุทรเกาหลีต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิญี่ปุ่น
“ท่านผู้นำได้บรรเทาความคับแค้นที่ฝังแน่นในใจชาวเกาหลีมานาน... ด้วยแผนอันกล้าหาญที่จะทำให้ชาวหมู่เกาะญี่ปุ่นผู้โหดเหี้ยมต้องสิ้นสติในวันที่ 29 ส.ค.”
สนธิสัญญาดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของการปกครองแบบกดขี่ข่มเหงนานกว่า 30 ปี ซึ่งปิดฉากพร้อมกับความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปมประวัติศาสตร์ที่กัดเซาะความร่วมมือระหว่างโซลและโตเกียวเรื่อยมา แม้ทั้งสองชาติจะเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ และถูกโสมแดงคุกคามด้วยกันทั้งคู่ก็ตาม
ล่าสุด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งเปิดประชุมด่วนแบบปิดลับตามการเรียกร้องของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ได้มีมติเอกฉันท์ประณามการยิงทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือเมื่อวานนี้ (29) โดยเรียกร้องให้เปียงยางยุติโครงการอาวุธอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่หวนกลับสู่เส้นทางนี้อีก
โกโร เบสโช เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำยูเอ็น ระบุว่า หลังจากนี้อาจจะมีบทลงโทษใหม่ๆ ตามมา
“กระบวนการต่อไปกำลังเริ่มขึ้นแล้ว เรายังคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้ แต่ผมหวังอย่างยิ่งว่าคงจะมีมติที่รุนแรงตามหลังคำแถลงในวันนี้”
สมาชิกคณะมนตรีทั้ง 15 ประเทศแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวต่อพฤติกรรมยั่วยุครั้งล่าสุดของคิม โดยทั้งจีนและรัสเซียต่างสนับสนุนคำแถลงประณามเปียงยาง
อย่างไรก็ดี แม้คำแถลงซึ่งสหรัฐฯ ร่างขึ้นจะชี้ชัดว่าการยิงจรวดครั้งนี้ฝ่าฝืนมติของยูเอ็นมากมาย แต่กลับไม่ได้ระบุมาตรการลงโทษเพิ่มเติม
“คณะมนตรีความมั่นคงขอย้ำว่าการกระทำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ไม่เพียงเป็นภัยคุกคามต่อภูมิภาค แต่เป็นอันตรายต่อรัฐสมาชิกยูเอ็นทุกประเทศ” คำแถลงของคณะมนตรียูเอ็นระบุ
“คณะมนตรีความมั่นคงมีความกังวลอย่างยิ่งว่า การที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบจรวดข้ามหมู่เกาะญี่ปุ่น รวมถึงพฤติกรรมและคำพูดยั่วยุที่ออกมาในระยะนี้ ล้วนเป็นการจงใจทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค”
คณะมนตรีเรียกร้องให้โสมแดงซึ่งถูกยูเอ็นคว่ำบาตรมาแล้วถึง 7 ครั้งยอมปฏิบัติตามมติของนานาชาติ ซึ่งก็คือ “ละทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ และยุติโครงการนิวเคลียร์ที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ ตรวจสอบได้ และไม่อาจพลิกผันไปอีกได้ รวมถึงยุติกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทันที”