(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Laos is a key link for China’s Obor ambitions
By DAVID HUTT, @davidhuttjourno
15/07/2017
ขณะที่ลาวคือตัวเชื่อมโยงสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ One Belt, One Road อันลือลั่นของจีน กระนั้นก็ตาม ลาว –ประเทศแห่งแผ่นดินปิดและมีรัฐบาลคอมมิวนิสต์เป็นผู้บริหารประเทศ- จะเกร็งแกมกลัวต่อการนำอนาคตของระบบเศรษฐกิจไปผูกพันพึ่งพิงจีนอย่างสุดโต่ง หรือไม่ คำเฉลยเรื่องนี้เป็นอะไรที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดยิ่งยวด
สิบหกปีหลังจากที่มีการเสนอแนวคิดในระดับทวิภาคีเป็นครั้งแรก ก็เพิ่งจะเมื่อเมื่อปีที่แล้วที่การดำเนินงานได้เริ่มต้น นั่นก็คือ การจัดสร้างทางรถไฟความยาว 414 กิโลเมตรเพื่อเชื่อมโยงแผ่นดินจีนตอนใต้ไปยังดินแดนของลาว ผู้เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ของจีน
หากสำเร็จเสร็จสิ้นได้ภายในปี 2021 ตามที่วางแผนไว้ เส้นทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ราคาแพงที่สุดในประวัติศาตร์ชาติลาวกันเลยทีเดียว กล่าวคือตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่าได้กับเฉียดๆ จะครึ่งหนึ่งของจีดีพีปีปัจจุบันของประเทศลาว ผู้เป็นประเทศไซส์เล็กที่ฝังตัวอยู่ในโอบล้อมของประเทศใหญ่อย่างจีน ไทย และเวียดนาม
ในส่วนสำหรับจีนผู้เป็นสถาปนิกโครงการและเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ทางรถไฟสายนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความริเริ่ม“หนึ่งแถบเศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง” หรือ One Belt, One Road (OBOR) มูลค่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ จะช่วยเชื่อมโยงจีนไปสู่นานาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นวิสัยทัศน์ว่าด้วยการเชื่อมเส้นทางพาณิชย์แบบยิงยาวไม่มีการขาดตอนในระหว่างคุนหมิงในภาคใต้ของจีน ไปจรดยังประเทศเกาะผู้มั่งคั่งอย่างสิงคโปร์
ในส่วนสำหรับลาว ทางรถไฟสายนี้คือสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงวิถีดั้งเดิมที่ลาวปักหลักเป็นประเทศปลีกวิเวกมาช้านาน ดังจะได้ยินบ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐของลาวจะประกาศวาทะเปี่ยมโวหารว่า จะทำการแปลงโฉมลาว จากการเป็น แผ่นดินปิด (Land Lock) สู่สถานภาพ แผ่นดินเชื่อมโยง (Land Link)
โครงการไซส์มโหฬารที่จ่อจะสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แก่ลาว มิได้มาจากลมเหนือเท่านั้น หากเล็งแลไปทางซีกตะวันออกของลาว ก็มีอีกหนึ่งอภิมหาโครงการที่ลาวเตรียมจะจัดใหญ่ให้แก่อนาคตของชาติ กล่าวคือ การสร้างทางหลวงแผ่นดินมาตรฐานสมัยใหม่เพื่อเชื่อมโยงเวียงจันทร์กับกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลลาวสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่จะดำเนินโครงการร่วมลงทุนกับเวียดนามเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในเวียดนามตอนกลาง โดยจะถือเป็นปัจจัยความสำคัญเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม
ลาวนั้นไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว ลาวขาดแคลนอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญอย่างเพียงพอ เพราะมองกันว่าการผลิตขึ้นใช้ในประเทศ จะต้องบวกต้นทุนค่าขนส่งสินค้าในระดับที่สูงลิบลิ่วเข้าไปด้วย ทั้งนี้ แม้ลาวจะมีขนาดพื้นที่ประมาณเดียวกับฝรั่งเศส แต่ลาวมีภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาราว 70% ของพื้นที่ทั้งหมด
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงที่ก่อตัวอยู่นี้ ดูจะเข้าทีดีไม่น้อย แต่ต้องไม่ลืมว่ามันจะทำให้ลาวเป็นประเทศที่ไม่ปลีกวิเวกอีกต่อไป โดยลาวจะมีความสัมพันธ์ที่แนบชิดมากขึ้นกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งปวง เรื่องใหญ่อย่างนี้ หมายถึงการปรับตัวครั้งสำคัญ ทั้งนี้ แม้ลาวผู้เป็นชาติที่แปะยี่ห้อคอมมิวนิสต์ ได้ผละจากสถานภาพอันปิดสนิทตั้งแต่เมื่อทศวรรษ 1990 แต่ลาวก็ยังมีภาพลักษณ์ว่าเป็นประเทศที่ไม่ใคร่จะเป็นที่รู้จักมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความจริงประการนี้เป็นอะไรที่จริงที่สุด อีกทั้งมีนัยยะเชิงธุรกิจอย่างที่สุดด้วย กล่าวคือ ผลการศึกษาวิจัยและจัดอันดับโดยธนาคารโลก พบว่าในบรรดาประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความยากในการทำธุรกิจสุดๆ 3 อันดับแรกนั้น ลาวเป็นประเทศที่มีความยากในการทำธุรกิจอันดับที่ 3 กันเลยทีเดียว โดยเป็นรองเพียงประเทศเมียนมาร์ และติมอร์ เลสเต
องค์ประกอบใหญ่ยักษ์ของปัญหานี้ ได้แก่ รัฐบาลที่เคร่งครัดในระบบรัฐการอย่างรุนแรงมาก สำหรับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แล้ว ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดในบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลาวคือ ฝ่ายที่ฝักใฝ่ฮานอย ฝ่ายที่ฝักใฝ่ปักกิ่ง
ความแตกต่างและแตกแยกดังกล่าวมีตัวชี้บ่งประการสำคัญคือ ปัจจัยว่าเป็นเจนเนอเรชั่นใด พวกรุ่นเก่ามักที่จะฝักใฝ่ฮานอย ส่วนพวกรุ่นใหม่มักจะฝักใฝ่ปักกิ่ง นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยในเชิงภูมิศาสตร์ด้วย คือสำหรับคนในแผ่นดินตอนเหนือมักจะฝักใฝ่จีน และสำหรับคนในแผ่นดินตอนใต้มักจะฝักใฝ่เวียดนาม
นักวิเคราะห์บางรายฟันธงว่าในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคครั้งที่ 8 ในปี 2006 ฝ่ายที่ฝักใฝ่ปักกิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในกาลต่อมา ณ ปี 2013 พบว่าจีนกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของลาว โดยที่เวียดนามถูกแซงและลดลงไปสู่อันดับที่สอง กระนั้นก็ตาม ไม่ใช่ว่านักวิเคราะห์ทุกรายจะเห็นด้วยกับการวิเคราะห์แบบที่ดูตามอิทธิพลของเม็ดเงิน
“ในหลายปีมานี้ มีนักข่าวเยอะเลยที่เข้าใจผิดฉกรรจ์” กล่าวโดยเอียน แบร์ด แห่งภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เมื่อปีที่แล้ว “พวกนี้เห็นเม็ดเงินไหลจากจีนเข้าสู่ลาว แล้วก็คิดว่ามันหมายถึงการที่จีนมีฐานะการเมืองที่แข็งแกร่งในลาว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย”
ประเด็นมีอยู่ว่าจีนและเวียดนามลงทุนในลาวในแบบที่แตกต่างกัน และเงินทุนก็ไหลเข้าไปผ่านช่องทางที่แตกต่างกัน
จีนมักจะไปในงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยักษ์ และพยายามเสาะหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลกลาง ดังเหตุนี้ อิทธิพลจีน อีกทั้งโครงการของจีนจึงมักจะโดดเด่นเห็นชัดเจน
ส่วนสำหรับเวียดนามแล้ว เวียดนามทราบดีว่าอำนาจมหาศาลนั้นอยู่ในมือของทางการท้องถิ่น ด้วยเหตุฉะนี้ ฮานอยมักที่จะถักทอความผูกพันอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด และธุรกิจที่มีขนาดย่อมลงมา โดยเน้นให้เป็นธุรกิจของบุคคลสำคัญและทรงอิทธิพลในพรรค อาจารย์แบร์ดกล่าวอย่างนั้น
ทั้งนี้ หากว่าจะมีฝ่ายฝักใฝ่จีนอยู่ในพรรค ก็น่าจะเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ตัวอย่างคือ ท่านสมสะหวาด เล่งสะหวัด ถูกมองว่าเป็นฝ่ายเชียร์จีนในโปลิตบูโร และเป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของลาว แต่การณ์ปรากฏว่าสมสะหวาดถูกถอดจากอำนาจการกำหนดนโยบายระดับสูงสุดเรียบร้อยโรงเรียนลาว เมื่อปีที่แล้ว
บัวสอน บุบผาวัน เป็นอีกหนึ่งขาใหญ่ที่เชื่อกันว่าโปรปักกิ่ง เขาหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2010 โดยที่รัฐบาลชุดของเขามัวหมองหนักด้วยข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่น
นักวิเคราะห์ในสกุลที่ไม่เห็นด้วยกับสมมุติฐานเรื่องการเมืองแบ่งขั้วภายในประเทศลาว ให้ความเห็นว่าวัตถุประสงค์แท้จริงของรัฐบาลลาวคือการสร้างสมดุลเชิงผลประโยชน์ระหว่างสองชาติเพื่อนบ้านผู้เรืองอำนาจและทรงพลัง โดยเน้นว่าจะต้องพึ่งพิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดนับจากการประชุมใหญ่สมัชชาพรรค ครั้งที่ 10 เมื่อปีที่แล้ว คือ ความพยายามของรัฐบาลลาวในอันที่จะขยายสายสัมพันธ์ให้ไกลออกไปมากกว่าแค่จีนกับเวียดนาม
ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว การเยือนกรุงเวียงจันทร์ของนายบารัค โอบามา (ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้น) นับว่าเป็นวโรกาสที่ยิ่งใหญ่วาระหนึ่ง เพราะนอกจากจะเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่ประธานาธิบดีอเมริกันเดินทางมาเยือนลาว หากยังเป็นเพราะทัวร์ครั้งดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์ลาวเริ่มทอดสัมพันธ์กับโลกตะวันตกเป็นครั้งแรก ในอันที่จะสร้างความหลากหลายให้แก่ความสัมพันธ์ต่างประเทศของชาติลาว
นายกรัฐมนตรีทองลุน สีสุลิด มีนโยบายเพิ่มตัวเลือกในด้านนักลงทุนจากย่านเอเชีย โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่านทองลุนได้รับคำเชิญจากนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงให้ไปเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างลาวกับสิงคโปร์อยู่ที่ 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ในรอบหลายปีที่ผ่านมา สิงคโปร์มีการลงทุนในลาวรวมได้ประมาณ 284 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้นักวิเคราะห์พากันเชื่อว่าลาวจะยังเดินหน้าพึ่งพิงจีนแบบหนักมากทั้งในเชิงเงินกู้และการลงทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลาวจะสามารถบรรลุสถานภาพประเทศที่มีรายได้สูงกว่าระดับกลางภายในปี 2030 ดั่งที่ประกาศความตั้งใจไว้) แต่ก็ปรากฏสัญญาณหลายต่อหลายคราว่า ท่านทองลุนตั้งใจมุ่งมั่นจะลบล้างภาพที่ถูกมองว่าประเทศของตนเป็นเด็กในคาถาของประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือผู้ซึ่งใหญ่ยักษ์กว่านั้นมหาศาล
กระนั้นก็ตาม ยังมีอยู่บ้างที่มองความเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นความจำเป็นเพื่อให้บรรลุความสำเร็จด้านการพัฒนาเศรษฐกิจโดยไว และรวมถึงการเร่งพัฒนาแหล่งทรัพยากรที่ใช้สร้างไฟฟ้าพลังงานน้ำ “หากลาวจะต้องก้าวขึ้นเป็น ‘แบตเตอรี่แห่งเอเชีย’ เรื่องนี้อาจจะเป็นอะไรที่ทะเยอทะยานมากเกิน” ท่านทองลุนได้กล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ โดยพาดพิงถึงการที่ลาวเร่งผุดเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำเพื่อการส่งออก เป็นจำนวนมาก
เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลของท่านทองลุนมีคำสั่งห้ามเปิดพื้นที่แพลนท์เทชั่นขนาดใหญ่โตเพื่อปลูกกล้วย ซึ่งกิจกรรมเศรษฐกิจดังกล่าวนี้กำลังบูมสนั่นโดยพลังขับเคลื่อนของนักลงทุนจีนในทางตอนเหนือของประเทศลาว สืบเนื่องจากปรากฏรายงานการใช้สารเคมีกันอย่างขนานใหญ่ ส่งผลเป็นมลพิษร้ายแรงที่ทำลายแหล่งน้ำ ตลอดจนส่งผลร้ายต่อสุขภาพของแรงงานลาวที่ทำงานในพื้นที่เหล่านั้น ต่อมาไม่นาน รัฐบาลของท่านทองลุนยังมีคำสั่งห้ามส่งออกไม้ซุงอีกต่างหาก โดยที่ว่าการส่งออกไม้ซุงส่วนใหญ่นั้นมุ่งหน้าไปยังตลาดจีนนั่นเอง
ไม่ต้องคลางใจกันเลยว่าท่านทองลุนเข้าใจนัยยะทางการเมืองได้เป็นอย่างดี ว่าการทำลายสภาพแวดล้อมและการปล่อยให้มีการเกษตรดุดันโดยปราศจากการตรวจสอบปฏิบัติการภาคสนามนั้น เป็นภัยคุกคามต่อความชอบธรรมของพรรคในสายตาและความรับรู้ของมวลชนอย่างที่สุด
“เราสามารถมีการลงทุนต่างชาติ แต่เราก็ต้องได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ด้วย” ท่านทองลุนกล่าว พร้อมเสริมว่า “ควรจะต้องมีความเป็นธรรมกันด้วย”
หากพิจารณาในเชิงถ้อยคำการเมืองที่กำกวมสไตล์ลาว นี้อาจตีความได้ว่าเป็นการยอมรับว่านโยบายก่อนหน้านี้ส่งเสริมความไม่เท่าเทียม กระนั้นก็ตาม นี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า การลงทุนต่างชาติไม่ใช่ว่าจะเป็นที่ต้อนรับแบบเดิมๆ แบบที่ว่าการลงทุนต่างชาติทุกสิ่งอย่างโอเคได้หมดไม่ว่าลาวต้องแบกต้นทุนภายในพื้นถิ่นของตนในระดับที่สูงเพียงใด
อันที่จริงแล้ว ลาวมีข้อได้เปรียบไม่ใช่น้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นแผ่นดินเชื่อมโยงที่สำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยว่าทำเลของแผ่นดินลาวนับเป็นศูนย์กลางแห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่โขงสำหรับ 3 ประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นไทย เวียดนาม หรือจีน กล่าวก็คือว่าลาวเป็นแผ่นดินเชื่อมโยงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเส้นทางขนส่งของโครงการ One Belt, One Road ที่จีนได้ดำริริเริ่มขึ้นมา
กระนั้นก็ตาม บททดสอบรายการใหญ่ยักษ์ทั้งในเชิงการเมืองและเชิงสังคมกำลังรอเวลาพิสูจน์ใจของผู้นำลาว นั่นคือโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำจำนวน 7 โครงการภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากจีน โดยมีแผนงานว่าจะถูกจัดสร้างขึ้นตามรายทางสายน้ำแม่โขง ปัญหาที่รอท่าอยู่โดยมีโอกาสสูงที่จะอักเสบขึ้นเป็นวิกฤตคือ ผลกระทบของโครงการต่อประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาทางการเวียดนามส่งเสียงบ่นมาตลอดหลายปีว่า เขื่อนนานาโครงการของลาวมีผลต่อปริมาณสายน้ำที่จะต้องไหลต่อไปเวียดนาม และกำลังคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายแสนราย
ลาวจะต้องเช็คทางลมให้ดีเชียวว่า ฝั่งฮานอยจะออกอาการแรงเพียงใด หากปริมาณสายน้ำในส่วนของเวียดนามได้รับผลกระทบจริงจัง อีกทั้งความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่ตามกันมาอีกเป็นพรวนอุบัติขึ้นในวงกว้าง เพราะในโมงยามเหล่านั้น ลาวจะเดินนโยบายอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ได้ทั้งด้านผลกำไรที่ได้รับจากการส่งออกไฟฟ้าพลังงานน้ำไปยังจีน ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ และตอบโจทย์ได้ในด้านสายสัมพันธ์กับประเทศพี่เอื้อยเก่าแก่รายนี้ นี่เป็นความเสี่ยงเชิงการทูตจากการบูรณาการและเชื่อมโยงกับภูมิภาคมากมหาศาลขึ้นมานั่นเอง
เดวิด ฮุตต์ เป็นนักหนังสือพิมพ์ซึ่งตั้งฐานประจำอยู่ในกรุงพนมเปญ
Laos is a key link for China’s Obor ambitions
By DAVID HUTT, @davidhuttjourno
15/07/2017
ขณะที่ลาวคือตัวเชื่อมโยงสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการ One Belt, One Road อันลือลั่นของจีน กระนั้นก็ตาม ลาว –ประเทศแห่งแผ่นดินปิดและมีรัฐบาลคอมมิวนิสต์เป็นผู้บริหารประเทศ- จะเกร็งแกมกลัวต่อการนำอนาคตของระบบเศรษฐกิจไปผูกพันพึ่งพิงจีนอย่างสุดโต่ง หรือไม่ คำเฉลยเรื่องนี้เป็นอะไรที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดยิ่งยวด
สิบหกปีหลังจากที่มีการเสนอแนวคิดในระดับทวิภาคีเป็นครั้งแรก ก็เพิ่งจะเมื่อเมื่อปีที่แล้วที่การดำเนินงานได้เริ่มต้น นั่นก็คือ การจัดสร้างทางรถไฟความยาว 414 กิโลเมตรเพื่อเชื่อมโยงแผ่นดินจีนตอนใต้ไปยังดินแดนของลาว ผู้เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ของจีน
หากสำเร็จเสร็จสิ้นได้ภายในปี 2021 ตามที่วางแผนไว้ เส้นทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ราคาแพงที่สุดในประวัติศาตร์ชาติลาวกันเลยทีเดียว กล่าวคือตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่าได้กับเฉียดๆ จะครึ่งหนึ่งของจีดีพีปีปัจจุบันของประเทศลาว ผู้เป็นประเทศไซส์เล็กที่ฝังตัวอยู่ในโอบล้อมของประเทศใหญ่อย่างจีน ไทย และเวียดนาม
ในส่วนสำหรับจีนผู้เป็นสถาปนิกโครงการและเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ทางรถไฟสายนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความริเริ่ม“หนึ่งแถบเศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง” หรือ One Belt, One Road (OBOR) มูลค่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ จะช่วยเชื่อมโยงจีนไปสู่นานาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นวิสัยทัศน์ว่าด้วยการเชื่อมเส้นทางพาณิชย์แบบยิงยาวไม่มีการขาดตอนในระหว่างคุนหมิงในภาคใต้ของจีน ไปจรดยังประเทศเกาะผู้มั่งคั่งอย่างสิงคโปร์
ในส่วนสำหรับลาว ทางรถไฟสายนี้คือสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงวิถีดั้งเดิมที่ลาวปักหลักเป็นประเทศปลีกวิเวกมาช้านาน ดังจะได้ยินบ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐของลาวจะประกาศวาทะเปี่ยมโวหารว่า จะทำการแปลงโฉมลาว จากการเป็น แผ่นดินปิด (Land Lock) สู่สถานภาพ แผ่นดินเชื่อมโยง (Land Link)
โครงการไซส์มโหฬารที่จ่อจะสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แก่ลาว มิได้มาจากลมเหนือเท่านั้น หากเล็งแลไปทางซีกตะวันออกของลาว ก็มีอีกหนึ่งอภิมหาโครงการที่ลาวเตรียมจะจัดใหญ่ให้แก่อนาคตของชาติ กล่าวคือ การสร้างทางหลวงแผ่นดินมาตรฐานสมัยใหม่เพื่อเชื่อมโยงเวียงจันทร์กับกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลลาวสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่จะดำเนินโครงการร่วมลงทุนกับเวียดนามเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในเวียดนามตอนกลาง โดยจะถือเป็นปัจจัยความสำคัญเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม
ลาวนั้นไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว ลาวขาดแคลนอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญอย่างเพียงพอ เพราะมองกันว่าการผลิตขึ้นใช้ในประเทศ จะต้องบวกต้นทุนค่าขนส่งสินค้าในระดับที่สูงลิบลิ่วเข้าไปด้วย ทั้งนี้ แม้ลาวจะมีขนาดพื้นที่ประมาณเดียวกับฝรั่งเศส แต่ลาวมีภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาราว 70% ของพื้นที่ทั้งหมด
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงที่ก่อตัวอยู่นี้ ดูจะเข้าทีดีไม่น้อย แต่ต้องไม่ลืมว่ามันจะทำให้ลาวเป็นประเทศที่ไม่ปลีกวิเวกอีกต่อไป โดยลาวจะมีความสัมพันธ์ที่แนบชิดมากขึ้นกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านทั้งปวง เรื่องใหญ่อย่างนี้ หมายถึงการปรับตัวครั้งสำคัญ ทั้งนี้ แม้ลาวผู้เป็นชาติที่แปะยี่ห้อคอมมิวนิสต์ ได้ผละจากสถานภาพอันปิดสนิทตั้งแต่เมื่อทศวรรษ 1990 แต่ลาวก็ยังมีภาพลักษณ์ว่าเป็นประเทศที่ไม่ใคร่จะเป็นที่รู้จักมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความจริงประการนี้เป็นอะไรที่จริงที่สุด อีกทั้งมีนัยยะเชิงธุรกิจอย่างที่สุดด้วย กล่าวคือ ผลการศึกษาวิจัยและจัดอันดับโดยธนาคารโลก พบว่าในบรรดาประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความยากในการทำธุรกิจสุดๆ 3 อันดับแรกนั้น ลาวเป็นประเทศที่มีความยากในการทำธุรกิจอันดับที่ 3 กันเลยทีเดียว โดยเป็นรองเพียงประเทศเมียนมาร์ และติมอร์ เลสเต
องค์ประกอบใหญ่ยักษ์ของปัญหานี้ ได้แก่ รัฐบาลที่เคร่งครัดในระบบรัฐการอย่างรุนแรงมาก สำหรับนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แล้ว ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดในบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลาวคือ ฝ่ายที่ฝักใฝ่ฮานอย ฝ่ายที่ฝักใฝ่ปักกิ่ง
ความแตกต่างและแตกแยกดังกล่าวมีตัวชี้บ่งประการสำคัญคือ ปัจจัยว่าเป็นเจนเนอเรชั่นใด พวกรุ่นเก่ามักที่จะฝักใฝ่ฮานอย ส่วนพวกรุ่นใหม่มักจะฝักใฝ่ปักกิ่ง นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยในเชิงภูมิศาสตร์ด้วย คือสำหรับคนในแผ่นดินตอนเหนือมักจะฝักใฝ่จีน และสำหรับคนในแผ่นดินตอนใต้มักจะฝักใฝ่เวียดนาม
นักวิเคราะห์บางรายฟันธงว่าในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคครั้งที่ 8 ในปี 2006 ฝ่ายที่ฝักใฝ่ปักกิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในกาลต่อมา ณ ปี 2013 พบว่าจีนกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของลาว โดยที่เวียดนามถูกแซงและลดลงไปสู่อันดับที่สอง กระนั้นก็ตาม ไม่ใช่ว่านักวิเคราะห์ทุกรายจะเห็นด้วยกับการวิเคราะห์แบบที่ดูตามอิทธิพลของเม็ดเงิน
“ในหลายปีมานี้ มีนักข่าวเยอะเลยที่เข้าใจผิดฉกรรจ์” กล่าวโดยเอียน แบร์ด แห่งภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน เมื่อปีที่แล้ว “พวกนี้เห็นเม็ดเงินไหลจากจีนเข้าสู่ลาว แล้วก็คิดว่ามันหมายถึงการที่จีนมีฐานะการเมืองที่แข็งแกร่งในลาว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย”
ประเด็นมีอยู่ว่าจีนและเวียดนามลงทุนในลาวในแบบที่แตกต่างกัน และเงินทุนก็ไหลเข้าไปผ่านช่องทางที่แตกต่างกัน
จีนมักจะไปในงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยักษ์ และพยายามเสาะหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลกลาง ดังเหตุนี้ อิทธิพลจีน อีกทั้งโครงการของจีนจึงมักจะโดดเด่นเห็นชัดเจน
ส่วนสำหรับเวียดนามแล้ว เวียดนามทราบดีว่าอำนาจมหาศาลนั้นอยู่ในมือของทางการท้องถิ่น ด้วยเหตุฉะนี้ ฮานอยมักที่จะถักทอความผูกพันอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด และธุรกิจที่มีขนาดย่อมลงมา โดยเน้นให้เป็นธุรกิจของบุคคลสำคัญและทรงอิทธิพลในพรรค อาจารย์แบร์ดกล่าวอย่างนั้น
ทั้งนี้ หากว่าจะมีฝ่ายฝักใฝ่จีนอยู่ในพรรค ก็น่าจะเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ตัวอย่างคือ ท่านสมสะหวาด เล่งสะหวัด ถูกมองว่าเป็นฝ่ายเชียร์จีนในโปลิตบูโร และเป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของลาว แต่การณ์ปรากฏว่าสมสะหวาดถูกถอดจากอำนาจการกำหนดนโยบายระดับสูงสุดเรียบร้อยโรงเรียนลาว เมื่อปีที่แล้ว
บัวสอน บุบผาวัน เป็นอีกหนึ่งขาใหญ่ที่เชื่อกันว่าโปรปักกิ่ง เขาหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2010 โดยที่รัฐบาลชุดของเขามัวหมองหนักด้วยข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่น
นักวิเคราะห์ในสกุลที่ไม่เห็นด้วยกับสมมุติฐานเรื่องการเมืองแบ่งขั้วภายในประเทศลาว ให้ความเห็นว่าวัตถุประสงค์แท้จริงของรัฐบาลลาวคือการสร้างสมดุลเชิงผลประโยชน์ระหว่างสองชาติเพื่อนบ้านผู้เรืองอำนาจและทรงพลัง โดยเน้นว่าจะต้องพึ่งพิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดนับจากการประชุมใหญ่สมัชชาพรรค ครั้งที่ 10 เมื่อปีที่แล้ว คือ ความพยายามของรัฐบาลลาวในอันที่จะขยายสายสัมพันธ์ให้ไกลออกไปมากกว่าแค่จีนกับเวียดนาม
ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว การเยือนกรุงเวียงจันทร์ของนายบารัค โอบามา (ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้น) นับว่าเป็นวโรกาสที่ยิ่งใหญ่วาระหนึ่ง เพราะนอกจากจะเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่ประธานาธิบดีอเมริกันเดินทางมาเยือนลาว หากยังเป็นเพราะทัวร์ครั้งดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์ลาวเริ่มทอดสัมพันธ์กับโลกตะวันตกเป็นครั้งแรก ในอันที่จะสร้างความหลากหลายให้แก่ความสัมพันธ์ต่างประเทศของชาติลาว
นายกรัฐมนตรีทองลุน สีสุลิด มีนโยบายเพิ่มตัวเลือกในด้านนักลงทุนจากย่านเอเชีย โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่านทองลุนได้รับคำเชิญจากนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงให้ไปเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างลาวกับสิงคโปร์อยู่ที่ 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ในรอบหลายปีที่ผ่านมา สิงคโปร์มีการลงทุนในลาวรวมได้ประมาณ 284 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้นักวิเคราะห์พากันเชื่อว่าลาวจะยังเดินหน้าพึ่งพิงจีนแบบหนักมากทั้งในเชิงเงินกู้และการลงทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลาวจะสามารถบรรลุสถานภาพประเทศที่มีรายได้สูงกว่าระดับกลางภายในปี 2030 ดั่งที่ประกาศความตั้งใจไว้) แต่ก็ปรากฏสัญญาณหลายต่อหลายคราว่า ท่านทองลุนตั้งใจมุ่งมั่นจะลบล้างภาพที่ถูกมองว่าประเทศของตนเป็นเด็กในคาถาของประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือผู้ซึ่งใหญ่ยักษ์กว่านั้นมหาศาล
กระนั้นก็ตาม ยังมีอยู่บ้างที่มองความเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นความจำเป็นเพื่อให้บรรลุความสำเร็จด้านการพัฒนาเศรษฐกิจโดยไว และรวมถึงการเร่งพัฒนาแหล่งทรัพยากรที่ใช้สร้างไฟฟ้าพลังงานน้ำ “หากลาวจะต้องก้าวขึ้นเป็น ‘แบตเตอรี่แห่งเอเชีย’ เรื่องนี้อาจจะเป็นอะไรที่ทะเยอทะยานมากเกิน” ท่านทองลุนได้กล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ โดยพาดพิงถึงการที่ลาวเร่งผุดเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำเพื่อการส่งออก เป็นจำนวนมาก
เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลของท่านทองลุนมีคำสั่งห้ามเปิดพื้นที่แพลนท์เทชั่นขนาดใหญ่โตเพื่อปลูกกล้วย ซึ่งกิจกรรมเศรษฐกิจดังกล่าวนี้กำลังบูมสนั่นโดยพลังขับเคลื่อนของนักลงทุนจีนในทางตอนเหนือของประเทศลาว สืบเนื่องจากปรากฏรายงานการใช้สารเคมีกันอย่างขนานใหญ่ ส่งผลเป็นมลพิษร้ายแรงที่ทำลายแหล่งน้ำ ตลอดจนส่งผลร้ายต่อสุขภาพของแรงงานลาวที่ทำงานในพื้นที่เหล่านั้น ต่อมาไม่นาน รัฐบาลของท่านทองลุนยังมีคำสั่งห้ามส่งออกไม้ซุงอีกต่างหาก โดยที่ว่าการส่งออกไม้ซุงส่วนใหญ่นั้นมุ่งหน้าไปยังตลาดจีนนั่นเอง
ไม่ต้องคลางใจกันเลยว่าท่านทองลุนเข้าใจนัยยะทางการเมืองได้เป็นอย่างดี ว่าการทำลายสภาพแวดล้อมและการปล่อยให้มีการเกษตรดุดันโดยปราศจากการตรวจสอบปฏิบัติการภาคสนามนั้น เป็นภัยคุกคามต่อความชอบธรรมของพรรคในสายตาและความรับรู้ของมวลชนอย่างที่สุด
“เราสามารถมีการลงทุนต่างชาติ แต่เราก็ต้องได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ด้วย” ท่านทองลุนกล่าว พร้อมเสริมว่า “ควรจะต้องมีความเป็นธรรมกันด้วย”
หากพิจารณาในเชิงถ้อยคำการเมืองที่กำกวมสไตล์ลาว นี้อาจตีความได้ว่าเป็นการยอมรับว่านโยบายก่อนหน้านี้ส่งเสริมความไม่เท่าเทียม กระนั้นก็ตาม นี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า การลงทุนต่างชาติไม่ใช่ว่าจะเป็นที่ต้อนรับแบบเดิมๆ แบบที่ว่าการลงทุนต่างชาติทุกสิ่งอย่างโอเคได้หมดไม่ว่าลาวต้องแบกต้นทุนภายในพื้นถิ่นของตนในระดับที่สูงเพียงใด
อันที่จริงแล้ว ลาวมีข้อได้เปรียบไม่ใช่น้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นแผ่นดินเชื่อมโยงที่สำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยว่าทำเลของแผ่นดินลาวนับเป็นศูนย์กลางแห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่โขงสำหรับ 3 ประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นไทย เวียดนาม หรือจีน กล่าวก็คือว่าลาวเป็นแผ่นดินเชื่อมโยงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเส้นทางขนส่งของโครงการ One Belt, One Road ที่จีนได้ดำริริเริ่มขึ้นมา
กระนั้นก็ตาม บททดสอบรายการใหญ่ยักษ์ทั้งในเชิงการเมืองและเชิงสังคมกำลังรอเวลาพิสูจน์ใจของผู้นำลาว นั่นคือโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำจำนวน 7 โครงการภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากจีน โดยมีแผนงานว่าจะถูกจัดสร้างขึ้นตามรายทางสายน้ำแม่โขง ปัญหาที่รอท่าอยู่โดยมีโอกาสสูงที่จะอักเสบขึ้นเป็นวิกฤตคือ ผลกระทบของโครงการต่อประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาทางการเวียดนามส่งเสียงบ่นมาตลอดหลายปีว่า เขื่อนนานาโครงการของลาวมีผลต่อปริมาณสายน้ำที่จะต้องไหลต่อไปเวียดนาม และกำลังคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายแสนราย
ลาวจะต้องเช็คทางลมให้ดีเชียวว่า ฝั่งฮานอยจะออกอาการแรงเพียงใด หากปริมาณสายน้ำในส่วนของเวียดนามได้รับผลกระทบจริงจัง อีกทั้งความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่ตามกันมาอีกเป็นพรวนอุบัติขึ้นในวงกว้าง เพราะในโมงยามเหล่านั้น ลาวจะเดินนโยบายอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ได้ทั้งด้านผลกำไรที่ได้รับจากการส่งออกไฟฟ้าพลังงานน้ำไปยังจีน ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ และตอบโจทย์ได้ในด้านสายสัมพันธ์กับประเทศพี่เอื้อยเก่าแก่รายนี้ นี่เป็นความเสี่ยงเชิงการทูตจากการบูรณาการและเชื่อมโยงกับภูมิภาคมากมหาศาลขึ้นมานั่นเอง
เดวิด ฮุตต์ เป็นนักหนังสือพิมพ์ซึ่งตั้งฐานประจำอยู่ในกรุงพนมเปญ