เอพี – แม้ไม่มีดรามาโจ๋งครึ่ม แต่พวกวุฒิสมาชิกรีพับลิกันกำลังพากันหันหลังให้ทรัมป์อย่างเงียบๆ และเดินหน้าผลักดันวาระของตนเอง หรือกระทั่งเรียงหน้าปกป้องรัฐมนตรียุติธรรม โดยไม่แคร์การเรียกร้อง กดดัน หรือตำหนิจากประมุขทำเนียบขาว
ในวันอังคาร (1 ส.ค.) ทิม สก็อตต์ วุฒิสมาชิกจากเซาท์แคโรไลนา พูดแทนใจ ส.ว. รีพับลิกันหลายคนว่า “เราทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อประธานาธิบดี”
นั่นคือคำพูดจากตัวแทนรัฐที่โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะอย่างง่ายดายในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีที่แล้ว แต่หลังจากช่วงเวลา 6 เดือนของความขัดแย้งยุ่งเหยิงและคะแนนนิยมต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของประมุขทำเนียบขาว บ่งชี้ชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ได้รับความยำเกรงหรือเคารพจาก ส.ว. รีพับลิกันจำนวนมากอีกต่อไป
สถานการณ์นี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงในสภาผู้แทนราษฎร ที่สมาชิกรีพับลิกันส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของเขตอนุรักษนิยมที่ยังภักดีต่อทรัมป์
ตัวอย่างการวิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรงที่สุดมาจากเจฟฟ์ เฟลค วุฒิสมาชิกแอริโซนา ที่วิพากษ์ทั้งประธานาธิบดีและพรรครีพับลิกันในหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองว่า “ความเงียบอย่างน่าตกใจเบื้องหน้ารัฐบาลถือเป็นการประกาศลาออก” และ “น่าอัศจรรย์กับความนับถืออันแปลกประหลาดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ดูเหมือนชื่นชมอย่างมากกับผู้นำเผด็จการ”
การวิจารณ์ของเฟลคถือว่า น่าตกตะลึงมากเนื่องจากเขาเป็นวุฒิสมาชิกรีพับลิกันเพียง 1 ใน 2 คนที่ต้องลงเลือกตั้งใหม่ในการเลือกตั้งกลางเทอมปีหน้า จึงยังควรกังวลว่า การกระทำนี้จะส่งผลลบต่อคะแนนเสียงจากบรรดาแฟนคลับของทรัมป์อย่างน้อยในระยะสั้น
ตรงข้ามกับวุฒิสมาชิกรีพับลิกันอีก 50 คนที่สามารถท้าทายประธานาธิบดีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสะสมความไม่พอใจอยู่นาน ทั้งเรื่องความพ่ายแพ้ในการผลักดันร่างกฎหมายล้มล้าง “โอบามาแคร์” เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (28 ก.ค.) รวมทั้งการที่ทรัมป์เฝ้าโจมตีไม่เลิกราต่อเจฟฟ์ เซสชันส์ อดีตวุฒิสมาชิกที่ได้รับเลือกจากทรัมป์ให้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรม เพียงเพราะเซสชันส์ถอนตัวจากการเป็นผู้ควบคุมการสอบสวนความเป็นไปได้ที่ทีมหาเสียงของทรัมป์สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
ลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกจากเซาท์แคโรไลนา จวกการปฏิบัติต่อเซสชันส์ของทรัมป์ว่า “ไม่เหมาะสม” และ “เป็นสัญญาณความอ่อนแออย่างมากของประธานาธิบดีทรัมป์” ส.ว.รีพับลิกันคนอื่นๆ ต่างเห็นด้วยกับเกรแฮม
ต่อมา มิก มัลเวนีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายงบประมาณทำเนียบขาวและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พูดเป็นเชิงสั่งผ่านรายการข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (30 ก.ค.) ว่า วุฒิสภาต้องผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ก่อนไปทำอย่างอื่น
จอห์น คอร์นิน ผู้นำรีพับลิกันอันดับ 2 ในสภาสูง จัดหนักไม่ชักช้าว่า มัลเวนีย์คงไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสภาสูงเท่าไหร่ก่อนจับพลัดจับผลูได้ตำแหน่งใหญ่ “ผมว่า เขาควรทำงานของตัวเอง และปล่อยให้เราทำงานของเรา”
ตัวทรัมป์เองนั้นเห็นได้ชัดว่า เพิกเฉยต่อคำเตือนของมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำรีพับลิกันในวุฒิสภา ที่ขอให้ประธานาธิบดีงดก้าวก่ายสภาสูง โดยทรัมป์ทวิตไม่หยุดหย่อนหลังจากความล้มเหลวในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพเมื่อวันศุกร์ โดยบอกว่า สภาสูงควรยกเลิกกฎการอภิปรายประวิงเวลาที่กำหนดให้ต้องมีเสียงสนับสนุน 60 เสียงเพื่อผลักดันร่างกฎหมายสำคัญ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ทรัมป์ไม่รู้หรือไม่สนใจว่า ส.ว.รีพับลิกันพยายามผ่านร่างดังกล่าวภายใต้กฎที่ต้องการเสียงเกินกึ่งหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น ส.ว.รีพับลิกันจึงเมินทวิตของทรัมป์ และวันอังคาร แมคคอนเนลให้สัมภาษณ์ว่า เห็นได้ชัดว่า ปัญหาของรีพับลิกันไม่ได้อยู่ที่เดโมแครต แต่เป็นเพราะรีพับลิกันเองที่รวมเสียงได้ไม่ถึง 50 เสียง
สมาชิกรีพับลิกันบางคนบอกว่า ทรัมป์และคณะบริหารทำให้งานของพวกเขายากขึ้น จากการปล่อยให้ไรอัน ซิงกี้ รัฐมนตรีมหาดไทย ไปข่มขู่วุฒิสมาชิก ลิซา เมอร์โคสกี ให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว และได้ผลตรงกันข้าม
ส.ว.รีพับลิกันบางคนพูดเหมือนทรัมป์ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร เช่น บ็อบ คอร์เกอร์ จากเทนเนสซี ที่บอกว่า นับจากเปิดสภา พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งร่างกฎหมายแซงก์ชันรัสเซียและศาลสูงสุด หรือการล้มล้างโอบามาแคร์แม้ไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม และขณะนี้ พวกเขากำลังเดินหน้าผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี ซึ่งการดำเนินการส่วนใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นจาก “ภายในรัฐสภา” ทั้งสิ้น