เอเจนซีส์ - วิดีโอคลิปถูกเผยแพร่ไปทั่วแสดงภาพเครื่องบิน F-16 ของนาโตบินคู่ไปกับเครื่องบินของรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู เหนือเขตทะเลบอลติกแบบเบียดประชิดเมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.) ก่อนถูกช่วยไว้ได้โดยเครื่องบินขับไล่รัสเซีย SU-27 พร้อมส่งสัญญาณบอกให้รู้ “ติดอาวุธจรวดมิสไซล์” ล่าสุดไม่ปรากฏพบหลักฐานที่มาของ F-16 ลำเกิดเหตุ แต่มอสโกประกาศยกเลิกเจรจาในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกับสหรัฐฯ ระหว่างผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก รยาบคอฟ (Sergei Ryabkov) และคู่เจรจาที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังโดนคว่ำบาตรรอบใหม่จากวอชิงตัน
หนังสือพิมพ์ดิอินดิเพนเดนต์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.) ว่า ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตรึงเครียด พบว่าในวันพุธ (21 มิ.ย) เครื่องบินซึ่งมีรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู (Sergei Shoigu) นั่งอยู่ข้างใน ถูกเครื่องบินของนาโต F-16 บินเข้าระยะประชิดแบบเฉียดฉิวเหนือทะเลบอลติก ส่งผลทำให้เครื่องบินขับไล่รัสเซีย SU-27 ต้องเข้าแทรกระหว่างเครื่องบินทั้งสอง พร้อมกับบินพลิกปีกเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่า “ติดอาวุธมิสไซล์โจมตี”
ทั้งนี้ พบว่าวิดีโอคลิปที่ถูกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ช่องของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย MOD นั้นถูกถ่ายออกมาจากเครื่องบินของชอยกู
โดยหลังเกิดเหตุที่เครื่องบินขับไล่รัสเซีย SU-27 สามารถเข้าแทรกได้สำเร็จ ทำให้เครื่องบิน F-16 ของนาโตต้องล่าถอยหายออกไป โดยในแถลงการณ์ที่ออกมาขององค์การนาโตยอมรับว่า ในวันพุธ (21) ได้ติดตามเครื่องบินสัญชาติรัสเซีย 3 ลำเหนือบริเวณเขตทะเลบอลติกจริง ซึ่งการติดตาม รวมไปถึงเครื่องบินรบรัสเซีย 2 ลำที่ไม่ยอมตอบกลับหอควบคุมการจราจรทางอากาศที่ออกคำสั่งให้เปิดเผยที่มาของเครื่อง
“โดยเป็นไปตามมาตรฐานการปฎิบัติ เมื่อมีเครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติเข้าใกล้ท้องฟ้านาโต ทำให้นาโตและกองทัพอากาศชาติสมาชิกต้องขึ้นบินเพื่อสังเกตการณ์เครื่องบินลึกลับเหล่านี้”
และกล่าวต่อว่า “และเมื่อเครื่องบินนาโตได้เข้าสกัดเครื่องบินเป้าหมาย ทางเราได้แสดงตัวในระยะสายตาให้ปรากฎอย่างชัดเจน พร้อมอยู่ในระยะปลอดภัยตลอดเวลา และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ เครื่องบินนาโตจะบินจากไป”
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ชี้ว่าทางพันธมิตรไม่ทราบว่าใครอยู่บนเครื่อง
สื่อดิอินดิเพนเดนต์รายงานว่า ซอยกูเดินทางไปยังคาลินินกราด ดินแดนนอกแผ่นดินใหญ่รัสเซีย เพื่อประชุมเพื่อตรวจดูว่าบรรดาชาติตะวันตกนั้นมีศักยภาพมากเพียงใดในการทหาร
สื่อรัสเซีย RIA ออกมาชี้ว่า พบว่าในขณะที่เดินทางกลับในวันเดียวกัน (21 มิ.ย.) เครื่องบินของรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ยังคงถูกเครื่องบินนาโตติดตามเช่นเดิมถึงแม้จะเป็นการติดตามในระยะที่ห่างมากขึ้น
และเมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.) พบว่า มอสโกออกมาประกาศยกเลิกกะทันหันถึงการเจรจารอบใหม่ที่จะมีขึ้นในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ
โดยสื่อเดอะการ์เดียนชี้ว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก รยาบคอฟ (Sergei Ryabkov) ออกมาประณามการประกาศคว่ำบาตรรอบใหม่ที่สหรัฐฯที่ได้ออกมาในสัปดาห์นี้ เพื่อลงโทษรัสเซียในการส่งกำลังทหารเข้าแทรกแซงยูเครน ซึ่งการคว่ำบาตรรอบใหม่ สหรัฐฯได้สั่งเพิ่มรายชื่อเป้าหมายที่เป็นในระดับบุคคลและองค์กรถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯคว่ำบาตร
ในแถลงการณ์ของรยาบคอฟ เขาประกาศยกเลิกการหารือกับคู่เจรจา ทอม แชนนอน (Tom Shannon) ที่จะมีขึ้นในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในสัปดาห์นี้ ในการกรอบเจรจาที่ทางเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษชี้ว่า เป็นการหารือระหว่าง 2 ฝ่าย< i>ในความพยายามจะลดความตรึงเครียดระหว่างทั้งสองชาติลง
โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ราฟลอฟ ประกาศว่า การคว่ำบาตรที่มีขึ้นมา ทำให้เป็นที่ประจักษ์ว่าการเจรจารอบที่จะมีขึ้นนี้ไม่สามารถส่งผลไปในทางบวกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่มีวาระการประชุมบรรจุอยู่เลย เนื่องมาจากปัญหาที่ทางวอชิงตันไม่ต้องการให้มีข้อเสนอที่ชัดเจนเกิดขึ้น
ด้านกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์โต้ แสดงความเสียใจ แต่ยังยืนยันว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน “เปิดกว้างพร้อมการหารือในอนาคตข้างหน้า”
และในการตอบโต้ที่ดุเดือดกลับไปยังรยาบคอฟ โฆษกต่างประเทศสหรัฐฯ เฮตเทอร์ นูเอิร์ต (Heather Nauert) กล่าวผ่านแถลงการณ์ ยืนยันว่า “มาตรการใหม่นั้นมีขึ้นเพื่อสนับสนุนการคว่ำบาตรที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และถูกวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อขัดขวางความพยายามที่จะต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรของเรา”
และในแถลงการณ์ของนูเอิร์ต “ขอให้จำไว้ว่าการคว่ำบาตรเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไร้ที่มา แต่เป็นการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้รัสเซียที่ยังคงมีความรุนแรงต่ออธิปไตยและดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือ ยูเครน”
แถลงการณ์จากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ชี้ต่อว่า “และหากว่ารัสเซียต้องการให้มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้ยุติลง รัสเซียรู้เป็นอย่างดีที่สุดถึงจุดยืนสหรัฐฯ” และกล่าวว่า “มอสโกต้องทำตามข้อตกลงกรุงมินสก์เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตยูเครน และรวมไปถึงยกเลิกการยึดครองไครเมีย”