เอเอฟพี - กองทัพอิรักซึ่งเปิดฉากปฏิบัติการจู่โจมครั้งสุดท้ายเพื่อขับไล่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้บุกทะลวงเข้าไปถึงเขตเมืองเก่าของโมซุลแล้วเมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.) พร้อมยื่นคำขาดให้พวกนักรบญิฮาด “ยอมจำนน หรือไม่ก็ตาย”
กองกำลังของแบกแดดได้เริ่มปฏิบัติการทวงคืนย่านเมืองเก่าของโมซุลเมื่อวันอาทิตย์ (18) ซึ่งเป็นพื้นที่สุดท้ายที่ยังถูกพวกไอเอสยึดครองอยู่
ผู้บัญชาการทหารระบุว่า เวลานี้กองทัพยังเผชิญการต้านทานที่หนักหน่วงจากไอเอส และอาจยังมีพลเรือนมากกว่า 100,000 คนติดอยู่ภายในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยซอกซอยเล็กๆ มากมาย
พลตรี มาน อัล-ซาดี ผู้บัญชาการกองกำลังต่อต้านก่อการร้ายอิรัก (CTS) บอกกับเอเอฟพีว่า การสู้รบได้เริ่มปะทุขึ้นอีกเมื่อช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ (19)
“เราสามารถบุกลึกเข้าไปในเขตเมืองเก่า และควบคุมพื้นที่ย่านฟารุก (Faruq) เอาไว้ได้แล้ว”
อย่างไรก็ตาม ซาดี ยอมรับว่า ทหารอิรักยังทวงคืนพื้นที่ได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักรบไอเอสได้ระดมยิงปืนครกใส่ฐานที่มั่นของทหาร และไม่ยอมจำนนง่ายๆ
อบูบาการ์ อัล-บักดาดี ผู้นำสูงสุดของไอเอส ได้เผยโฉมหน้าให้ทั่วโลกเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2014 โดยขึ้นไปบนธรรมาสน์ของมัสยิด แกรนด์ อัล-นูรี ในเขตเมืองเก่าโมซุล เพื่อประกาศจัดตั้ง “รัฐคอลีฟะห์” ซึ่งครอบคลุมไปถึงพื้นที่บางส่วนของซีเรีย
การยาตราทัพเข้าไปถึงย่านประวัติศาสตร์ริมฝั่งแม่น้ำไทกริสถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของปฏิบัติการทวงคืนโมซุล ฐานที่มั่นสุดท้ายของไอเอสในอิรัก ซึ่งเปิดฉากขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. ปีที่แล้ว และหากรัฐบาลอิรักสามารถยึดโมซุลกลับคืนมาได้สำเร็จก็จะทำให้ไอเอสต้องสูญเสียดินแดนรัฐคอลีฟะห์ในฝั่งอิรักไปอย่างสิ้นเชิง
อาเหม็ด จัสเซ็ม สมาชิกกองกำลังซีทีเอส ได้อธิบายถึงปัญหาที่พบว่า “เรานำรถเข้าไปในซอยแคบๆ ไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าพวกไอเอสก็ไม่สามารถใช้คาร์บอมบ์ได้มากนักเช่นกัน แต่พวกเขาหันไปใช้มอเตอร์ไซค์บอมบ์ หรือแม้กระทั่งนำระเบิดมาติดบนรถของเล่น และบังคับด้วยรีโมตคอนโทรล”
กองทัพอิรักนำรถฮัมวีไปจอดไว้ใกล้ๆ มัสยิดใหญ่ (Grand Mosque) ทางฝั่งตะวันออกของโมซุล และติดโทรโข่งหันหน้าไปทางฝั่งเมืองเก่า ประกาศข้อความถึงไอเอสว่า “พวกคุณมีแค่ 2 ทางเลือก คือยอมจำนน หรือไม่ก็ตาย”
เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (18) ทหารอิรักได้นำใบปลิวเกือบ 500,000 ใบขึ้นไปโปรยเหนือเมืองโมซุล โดยเนื้อหาของใบปลิวนั้นเตือนว่ากองทัพ “จะเริ่มจู่โจมเข้าไปจากทุกทิศทุกทาง” และขอให้พลเรือน “อย่าออกมายืนตามที่โล่งแจ้ง และให้ใช้ทุกโอกาสที่มีหลบหนีออกไป”
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือนว่า ไอเอสอาจใช้พลเรือนมากกว่า 100,000 คนในเขตเมืองเก่าโมซุลเป็น “โล่มนุษย์”
กองทัพอิรักเปิดฉากยุทธการทวงคืนโมซุลเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว โดยสามารถยึดพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองกลับคืนมาจากไอเอสได้ในเดือน ม.ค. และเริ่มจู่โจมเข้าไปทางฝั่งตะวันตกในเดือนถัดมา
ผู้บัญชาการทหารอิรักระบุว่า การสู้รบครั้งนี้คาดว่าจะดุเดือด และกินเวลายืดเยื้อนานหลายสัปดาห์
พลเรือนอิรักต้องอพยพลี้ภัยสงครามไม่ต่ำกว่า 862,000 คนหลังจากกองทัพเริ่มต้นปฏิบัติการยึดคืนโมซุล ทว่าขณะนี้ประชาชนราว 195,000 คนสามารถกลับเข้าไปอาศัยที่บ้านเรือนของตนได้แล้ว โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออก