เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - จำนวนผู้ที่อาจเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุไฟนรกเผาผลาญอาคารที่พักอาศัยในกรุงลอนดอน ถูกปรับพุ่งพรวดขึ้นเป็น 58 คน ทางการตำรวจแถลงเมื่อวันเสาร์ (17 มิ.ย.) ขณะที่นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าไม่เข้าใจและรับมือกับโศกนาฏกรรมคราวนี้อย่างผิดพลาดจนทำให้ผู้คนเกิดความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นทุกที ได้ออกมาให้คำมั่นสัญญาที่จะลงมือจัดการปัญหาต่างๆ อย่างเร่งด่วนและจริงจัง
ยังคงมีผู้สูญหายค้นหาไม่พบอยู่อีกหลายสิบคน ภายหลังอัคคีภัยรุนแรงลุกท่วมอาคารเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ สูง 24 ชั้นทางด้านตะวันตกของลอนดอนผ่านไปได้ 3 วันแล้ว และความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของอาคารแฟลตที่กลายเป็นซากดำไหม้เกรียมหลังนี้ ก็ทำให้การค้นหาร่างเหยื่อเคราะห์ร้ายต้องชะลอลง
จำนวนร่างที่ถูกนำไปเก็บไว้ในห้องเก็บศพแห่งหนึ่งมีอยู่ 16 ศพ และเหยื่อคนแรกที่ได้รับการระบุอัตลักษณ์อย่างเป็นทางการแล้ว มีชื่อว่า โมฮัมหมัด อัลฮาจาลี ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียวัย 23 ปี
ตำรวจแถลงในวันเสาร์ (17) ว่า การสืบสวนสอบสวนของพวกเขาจะมุ่งไปที่ตัวอาคารและการซ่อมแซมบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 2016 พร้อมกับประกาศว่าจะนำตัวผู้ที่กระทำความผิดมาฟ้องร้องดำเนินคดี “ถ้าหากมีหลักฐาน”
“มีอยู่ 58 คนซึ่งเราได้รับแจ้งว่าอยู่ในเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ในคืนนั้น แล้วยังคงสูญหายอยู่ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องขอสันนิษฐานด้วยความโศกเศร้าว่า พวกเขาเสียชีวิตแล้ว” สจวร์ต คันดี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลลอนดอน กล่าวกับผู้สื่อข่าวจากสถานที่เกิดเหตุ
เขาบอกว่าตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากมีข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมปรากฏขึ้นมา
ขณะที่สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติแถลงว่า ยังคงมีผู้บาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 19 คน ในจำนวนนี้ 10 คนมีอาการสาหัส
ทางด้านสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 องค์พระประมุขของอังกฤษ ได้ทรงประทับยืนไว้อาลัยแด่เหยื่อผู้เสียชีวิตจากอัคคีภัยคราวนี้เป็นเวลา 1 นาที ก่อนเริ่มต้นพิธีสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 91 พรรษ เมื่อวันเสาร์ (17)
“เป็นเรื่องยากลำบากที่จะหลีกหนีอารมณ์ความรู้สึกอันโศกเศร้าหม่นหมองของประเทศชาติ” สมเด็จพระราชินีทรงมีพระราชดำรัสเช่นนี้ในพิธี แต่พระองค์ทรงยืนยันเชื่อมั่นว่าอังกฤษกำลังแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เบื้องหน้าความยากลำบากนี้
ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (16) สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธพร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลียม พระราชนัดดา ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมศูนย์ชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งผู้รอดชีวิตบางคนใช้เป็นที่พำนักอาศัย
ในอีกด้านหนึ่ง ความเคืองแค้นของสาธารณชนต่อทางการยังคงเพิ่มทวีขึ้น โดยพวกผู้พำนักอาศัยที่โกรธเกรี้ยวพากันออกมาประท้วงโห่ขับไล่นายกฯเมย์หลายๆวันต่อเนื่องกัน รวมทั้งยังบุกเข้าไปในสำนักงานของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบท้องถิ่นเมื่อวันศุกร์ (16)
พวกเขาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้แก่เหยื่อเคราะห์ร้าย ด้วยการนำตัวคนกระทำความผิดทำให้โศกนาฏกรรมคราวนี้มาลงโทษ และระบุว่าไฟนรกที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณตีหนึ่งของวันพุธ (14) จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปจำนวนมากนั้นมีสาเหตุมาจากความประมาทละเลย โดยที่หลายๆ คนหยิกยกเรื่องการใช้วัสดุพลาสติกมาเคลือบผิวนอกอาคารเมื่อตอนทำการซ่อมแซมบูรณะครั้งใหญ่อาคารคอนกรีตที่สร้างตั้งแต่ปี 1974 หลังนี้
ประท้วงนายกฯอังกฤษ
“มันเป็นกับดักแห่งความตาย และพวกเขาก็รู้กันดี” บุคคลผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าไปภายในสำนักงานของสภาเขตเคนซิงตันและเชลซี ซึ่งเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่รับผิดชอบการบริหารจัดการเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ อาคารแฟลตที่ตั้งอยู่ในหย่อมที่พำนักของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ซึ่งแทรกอยู่ในเขตที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดเขตหนึ่งของอังกฤษ
พื้นที่รอบๆ อาคารหลังนี้ มีบรรดาญาติมิตรหน้าตาท่าทางกระวนกระวายในมือถือภาพของผู้ที่ยังสูญหาย ซึ่งมีตั้งแต่ระดับคุณปู่คุณย่าไปจนถึงเด็กเล็กๆ
นายกฯเมย์ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักว่าหลีกเลี่ยงหนีหน้าผู้คนท้องถิ่น ขณะที่เธอเดินทางมาเยี่ยมสถานที่เกิดภัยพิบัติคราวนี้ในวันพฤหัสบดี (15) และเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ก็เผชิญกับเสียงร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อายไหม” และ “ขี้ขลาด” โดยที่ตำรวจต้องเข้ามาสลายความชุลมุนที่เกิดขึ้น
ในวันเสาร์ (17) เมย์ได้พบปะกับกลุ่มของเหยื่อ, ผู้พำนักอาศัยในอาคาร, อาสาสมัคร, และผู้นำชุมชน จำนวนรวม 15 คน ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีบนถนนดาวนิ่ง โดยที่มีผู้เดินขบวนจำนวนหนึ่งมาชุมนุมกันอยู่ข้างนอก เพื่อประท้วงในประเด็นปัญหาต่างๆ หลายหลาก รวมทั้งเรื่องอัคคีภัยคราวนี้ด้วย
ในคำแถลงฉบับหนึ่งซึ่งนำออกเผยแพร่ในวันเสาร์ (17) นายกรัฐมนตรีเมย์กล่าวว่า จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเหยื่อเคราะห์ร้าย
เธอยอมรับว่าความสนับสนุนช่วยเหลือในสนามสำหรับครอบครัวที่เดือดร้อนในช่วงเฉพาะหน้าหลังเกิดเพลิงไหม้นั้น “ยังไม่ดีพอ” และออกคำสั่งให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งสวมชุดที่มองเห็นได้ง่าย เข้าไปยังที่เกิดเหตุ
นายกฯอังกฤษบอกด้วยว่า พวกที่พำนักอาศัยในตึกสูงทำนองเดียวกันนี้ “ก็ต้องการคำตอบเช่นกัน” และสั่งการให้พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบระดับท้องถิ่นทั้งหลายเร่งตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
“อัคคีภัยที่เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจนึกคิดจินตนาการได้ทั้งสำหรับชุมชน และสำหรับประเทศของเรา รัฐบาลของดิฉันจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน, ทำให้เกิดความยุติธรรม, และปกป้องประชาชนของเราให้ปลอดภัย” เธอกล่าว
เมย์ซึ่งให้สัญญาจัดสรรงบประมาณ 5 ล้านปอนด์ (ราว 225 ล้านบาท) เพื่อใช้จ่ายในเรื่องการจัดหาอาหาร, เสื้อผ้า, และสัมภาระฉุกเฉินต่างๆ ยังประกาศจัดตั้งคณะทำงานที่นำโดยผู้พิพากษา เข้าสอบสวนภัยพิบัติคราวนี้
ทั้งนี้ยังคงมีคำถามค้างคาใจหลายข้อเกี่ยวกับอัคคีภัยเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ เป็นต้นว่า ทำไมอาคารหลังนี้ไม่มีการติดตั้งระบบดับเพลิงสปริงเกลอร์ หรือระบบเตือนภัยส่วนกลางเมื่อเกิดควันไฟผิดปกติ ตลอดจนการซ่อมแซมบูรณะครั้งใหญ่มีส่วนช่วยทำให้เพลิงลุกลามไปอย่างรวดเร็วใช่หรือไม่ โดยที่ระบุกันว่าได้มีการใช้วัสดุเคลือบผิวภายนอกอาคาร ซึ่งเคยถูกประณามก่อนหน้านี้ทั้งที่ฝรั่งเศส, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, และออสเตรเลีย ว่าทำให้เมื่อเกิดอัคคีภัยแล้วยิ่งแผ่ลามเร็วขึ้น
เมย์บอกว่าเธอจะเป็นผู้รับผิดชอบให้มีการนำเอาสิ่งซึ่งค้นพบจากการสอบสวนมาปฏิบัติ ขณะที่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายของเหยื่อเคราะห์ร้ายทางรัฐบาลจะเป็นผู้ออกให้ นอกจากนั้นเธอให้สัญญาว่า ทุกๆ คนที่สูญเสียที่พักอาศัยจากเหตุครั้งนี้ จะได้รับจัดสรรที่พักในบริเวณใกล้เคียงภายในเวลา 3 สัปดาห์
เมย์ยังเหมาะเป็นนายกฯหรือไม่?
พวกปรปักษ์ทางการเมืองของนายกฯเมย์กล่าวว่า จากความบกพร่องของเธอในการรับมือกับเหตุไฟไหม้เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ยิ่งทำให้ฐานะของเธอคลอนแคลนถูกตั้งคำถามเพิ่มมากขึ้นอีก เนื่องจากแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอล้มเหลวไม่ได้มีความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนและรีบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้ จากการที่เธอไม่สามารถนำพาพรรคอนุรักษนิยมกวาดที่นั่ง ส.ส. เกินกึ่งหนึ่ง ในการเลือกตั้งซึ่งเธอยังไม่จำเป็นต้องจัดขึ้นมาเลย ก็ได้จุดประกายทำให้วงการเมืองของอังกฤษบังเกิดความอึกทึกวุ่นวายมาราว 1 สัปดาห์อยู่แล้ว โดยที่หลายคนบอกว่าอังกฤษกำลังจมลงสู่วิกฤตทางการเมืองลึกที่สุดนับตั้งแต่การลงประชามติ “เบร็กซิต” เมื่อ 1 ปีก่อนทีเดียว
เวลานี้อังกฤษยังจะต้องเดินหน้าเข้าสู่การเจรจาต่อรองอันยากลำบากกับสหภาพยุโรปตั้งแต่วันจันทร์ (19) นี้ ในเรื่องเงื่อนไขต่างๆ ของการถอนตัวออกจากอียู ขณะที่เมย์ตกอยู่ในฐานะที่อ่อนแอลง โดยจะต้องพึ่งพาพรรคเดโมเครติก ยูเนียนนิสต์ ปาร์ตี้ (ดียูพี) ของดินแดนไอร์แลนด์เหนือ มาช่วยยกมือสนับสนุนเพื่อให้รัฐบาลสามารถผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ได้
แมตธิว แพร์ริส คอลัมนิสต์และอดีต ส.สงพรรคอนุรักษนิยม เขียนลงในหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทมส์ว่า การรับมือกับไฟไหม้ของเมย์ แสดงให้เห็นถึงการขาดวิจารณญาณ ซึ่งทำให้เธอไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯแล้ว
“ในสภาพที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนจากการชำระล้างของการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งได้ลิดรอนอำนาจความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีของเรา ขณะที่จวนเจียนจะต้องเจรจากับอียูอยู่รอมร่อแล้วเช่นนี้ ไม่ว่าจะพิจารณาด้วยสามัญสำนึกหรือด้วยหลักฐานอันหนักแน่น ก็ไม่มีสิ่งไหนเลยบ่งบอกว่าเธอสามารถที่จะทำให้สาธารณชนกลับมีความเชื่อมั่นได้ใหม่” ข้อเขียนของแพร์ริสระบุ และฟันธงว่า “นายกรัฐมนตรีผู้นี้อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”