เอเจนซีส์/MGR - ในขณะที่ทำเนียบขาวไม่ยอมออกมาให้คำตอบถึงการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯในการถอนอเมริกาจากสนธิสัญญาว่าด้วยโลกร้อนปารีสในสัปดาห์นี้ แต่ทว่าล่าสุดในการให้สัมภาษณ์ของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น นิกกี เฮลี ที่จะออกอากาศวันนี้ (4 มิ.ย.) ออกมาปกป้องการตัดสินใจ โดยยืนยันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คิดถึงโลกร้อน รับรู้ว่า “อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง” ที่ส่วนหนึ่งอาจเกิดมาจากมลพิษ แต่ชี้ว่าถึงแม้สหรัฐฯ จะถอนตัวออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจต่อสภาพแวดล้อม ด้านผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเชื่อใบสั่งถอนออกมาจากทุนใหญ่พรรครีพับลิกัน โคช อินดัสตรีส์ (Koch Industries)
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษเมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.) ว่า นิกกี เฮลี ให้สัมภาษณ์ในรายการ State of the Union ทางสถานี CNN ที่จะออกอากาศวันนี้ (4) ยืนยันว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าใจว่าภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง หลังจากในสัปดาห์นี้ผู้นำสหรัฐฯ ได้ถอนอเมริกาออกจากการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศโลก กลายเป็นประเทศที่ 3 หลังจากนิการากัว และซีเรีย ที่ไม่ได้เข้าร่วม
โดยในการหาทางออก เฮลีพยายามที่จะให้คำนิยามใหม่ของการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะภูมิอากาศในแบบของทรัมป์ โดยได้กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่า “อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง”และเชื่อว่ามลพิษเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา และนี่คือความเป็นจริงที่เรามีอยู่ในจุดนี้” นิกกี เฮลีกล่าว และยืนยันต่อว่า “เขารู้แน่นอนว่า..มันกำลังเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าสหรัฐฯ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งนี้ และนี่เป็นสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ แต่แค่ที่เราลาออกจากการเข้าร่วม ไม่ได้หมายความว่า พวกเราไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม”
สื่ออังกฤษรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจำนวนมากต่างพยายามอธิบายว่าตัวการทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน หรือสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศคือมนุษย์
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดี (1 มิ.ย.) ทำเนียบขาวประสบปัญหาในความพยายามต้องหาเหตุผลอธิบายว่า เหตุใดทรัมป์จึงต้องถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาวะอากาศ และลงท้ายด้วยการเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
แต่ทว่าในรายการทางสื่อ CNN เอกอัครราชาทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติได้ให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า “เรามีประธานาธิบดีที่ต้องดูแลสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ และนี่คือสิ่งที่เราทำ และนี่สิ่งที่เราเป็น เราจะยังคงเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ในรายการ เฮลีต้องออกมายอมรับว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ตั้งกติกาการปล่อยก๊าซภายใต้สนธิสัญญาปารีส ซึ่งไม่ผูกพันและเป็นสิ่งที่ไม่บังคับ แต่ทว่าเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนาจากพรรครีพับลิกัน ได้โจมตีไปที่รัฐบาลโอบามา โดยชี้ว่าเป็นความผิดเพราะเป็นผู้ตั้งเป้าหมายที่ไม่มีใครสามารถกระทำได้
ด้านผู้อำนวยการสถาบันโลก และศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เจฟฟรี แซชส์ (Jeffrey Sachs) ได้กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อธุรกิจบลูมเบิร์ก โดยชี้ให้เห็นถึงเบื้องหลังการที่ทรัมป์ดึงสหรัฐฯออกมาจากข้อตกลงทางสภาวะอากาศว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังล้วนแล้วแต่เป็นการเมืองทั้งสิ้น นี่เป็นชัยชนะที่ได้รับหลังจากพยายามมาร่วม 20 ปีของชาย 2 คน”
RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้ (3 มิ.ย.) ว่า ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้กล่าวโทษการตัดสินใจของทรัมป์ โดยโยงไปที่พี่น้องตระกูลโคช ชาร์ลส์ โคช และเดวิด โคช หรือที่เรียกว่า โคชบราเธอร์ส (Koch brothers) เจ้าของกิจการโคช อินดัสตรีส์ (Koch Industries) นายทุนกระเป๋าหนักของรีพับลิกันเอสแทบลิชเมนต์ ว่า เป็นผู้ที่ผลักดันให้เกิดขึ้น
แซชส์ชี้ว่า “พวกเขาได้ซื้อแกนนำระดับสูงของพรรครีพับลิกัน...และทรัมป์เป็นเหมือนแค่เครื่องมือในกระบวนการนี้” โดยได้อ้างไปถึงจดหมายจากบรรดา ส.ว.สายรีพับลิกันส่งให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อไม่นานมานี้
ข้อบ่งชี้ของผู้อำนวยการสถาบันโลกยังสอดคล้องถึงความเห็นของ ส.ว.พรรคเดโมแครตที่เชื่อว่า พี่น้องตระกูลโคกช์นั้นมีส่วน ที่หนึ่งในนั้นคือ ส.ว.เชลดอน ไวท์เฮาส์ (Sheldon Whitehouse) ที่นั่งอยู่ในชุดคณะกรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมประจำสภาสูงสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินใจของทรัมป์ผ่านทางทวิตเตอร์ในวันศุกร์ (2 มิ.ย.) โดยเรียกการตัดสินใจนี้ว่า เป็นการทรยศต่อชาติ พร้อมยังเอ่ยไปถึงโคชบราเธอร์ส
ทั้งนี้ มีรายงานโดยอ้างอิงจากนิตยสารฟอร์บส์ชี้ว่า กิจการโคช อินดัสตรีส์นั้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกิจการสหรัฐฯ ด้านรายได้ในอเมริกา และได้จ่ายไปเกือบ 900 ล้านดอลลาร์ในการเลือกตั้งปีล่าสุด ซึ่งพบว่ารองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ ผู้บริหารสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ EPA สกอตต์ พรูอิตต์ (Scott Pruitt) และผู้อำนวยการกิจการรัฐสภาของทรัมป์ ล้วนแล้วแต่โยงถึงโคชเน็ตเวิร์กทั้งสิ้น อ้างอิงจากสื่ออังกฤษ ดิอินดีเพนเดนต์
สื่อรัสเซียชี้ว่า ในขณะที่เป็นที่เข้าใจว่าพี่น้องตระกูลโคชนั้นหว่านเงินไปยังผู้สมัครที่พวกเขาชอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ (จากที่ทราบว่า โคชเน็ตเวิร์กนั้นสนับสนุน ส.ว.รัฐฟลอริดา มาร์โก รูบิโอ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016) แต่ทว่าในจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่พบว่าอิทธิพลของโคช อินดัสตรีส์ ได้แทรกซึมเข้ามามีอิทธิพลเหนืออาณาจักรของมหาเศรษฐีอื่นด้วยเช่นกัน