ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ในรอบ 1 ปีของการบริหารประเทศ เมื่อกบฏมุสลิมทางภาคใต้ลุกฮือยึดเมืองมาราวี (Marawi) บนเกาะมินดาเนา และสามารถต้านทานปฏิบัติการของกองทัพอยู่ได้นานกว่า 1 สัปดาห์ ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าภูมิภาคอาเซียนอาจกลายเป็นเป้าหมายถัดไปในการแผ่อิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่กำลังพ่ายแพ้สงครามในตะวันออกกลาง
กองทัพฟิลิปปินส์ได้จู่โจมฐานที่มั่นของกบฏมาอูเต (Maute) ที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอสทั้งทางบกและอากาศอย่างหนักหน่วงตลอดหลายวันมานี้ และประกาศในวันอังคาร (30) ว่าสามารถยึดเมืองคืนได้เกือบทั้งหมดแล้ว พร้อมทั้งเรียกร้องให้พวกกบฏที่ยังหลงเหลืออยู่ยอมวางอาวุธเสีย แต่สถานการณ์ก็ยังคงน่าเป็นห่วง เมื่อฝ่ายกบฏได้มีการขโมยอาวุธและกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ และยังมีนักโทษอีกกว่า 100 คนสบโอกาสหลบหนีออกจากเรือนจำออกมาจับอาวุธสู้รบร่วมกับพวกกบฏ
เหตุสู้รบครั้งนี้เริ่มปะทุขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 23 พ.ค. หลังจากกบฏมาอูเตได้ถือธงสีดำของไอเอสออกอาละวาดทำลายทรัพย์สิน และยึดเมืองมาราวีซึ่งมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่มาก เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการกองทัพที่จู่โจมหมายเข้าจับกุม “อิสนิลอน ฮาปิลอน” ผู้นำกลุ่มอาบูไซยาฟที่ขึ้นชื่อเรื่องการจับตัวประกันเรียกค่าไถ่และสังหารชาวต่างชาติ และเป็นบุคคลที่รัฐบาลมะนิลาเชื่อว่าเป็นตัวแทนของไอเอสในฟิลิปปินส์
ฮาปิลอน ผู้นี้มีชื่ออยู่ในบัญชีผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐฯ ต้องการตัวมากที่สุด และเชื่อกันว่าเขาหลบซ่อนตัวอยู่ที่มาราวี โดยได้รับการคุ้มกันจากกบฏมาอูเต
เมื่อวันพุธ (31) กองทัพฟิลิปปินส์ได้ส่งเครื่องบินสนับสนุนทางอากาศระยะใกล้ SF-260 เข้าไปช่วยหนุนปฏิบัติการของเฮลิคอปเตอร์โจมตีและทหารภาคพื้นดิน เพื่อทำการปิดล้อมพวกกบฏให้มากระจุกตัวอยู่ในย่านใจกลางเมือง โดยขณะนี้ยังมีพื้นที่ราว 1 ใน 10 ของเมืองมาราวีที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกกบฏ
เรสติตูโต ปาดิลลา โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์ ระบุว่า กบฏมาอูเตเลือกใช้ยุทธวิธีทำสงครามในเมือง (urban warfare) เนื่องจากอาวุธหาได้ง่าย อีกทั้งบ้านเรือนและร้านค้าของประชาชนก็เป็นแหล่งเสบียงได้อย่างดี
ประธานาธิบดี ดูเตอร์เต ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกบนเกาะมินดาเนาที่มีประชากรราว 20 ล้านคนเพื่อกวาดล้างสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น “การรุกรานของไอเอส” ขณะที่รายงานข่าวกรองชี้ว่า กบฏมาอูเตได้จับมือกับกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ เพื่อดึงนักรบต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ด้วย
ดูเตอร์เต ยืนยันว่า เขาจะไม่ยอมให้กลุ่มรัฐอิสลามเข้ามาสยายปีกในฟิลิปปินส์ และทำการเข่นฆ่าประชาชนเหมือนที่เคยทำกับอิรักและซีเรียได้เป็นอันขาด และแม้จะเคยยื่นข้อเสนอเจรจากับกบฏมาอูเตเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ล่าสุดผู้นำขาโหดยืนยันเมื่อวันพุธ (31) ว่า “จะไม่เจรจากับผู้ก่อการร้าย”
กองทัพฟิลิปปินส์เชื่อว่า การบุกยึดเมืองมาราวีครั้งนี้เป็นความพยายามของกบฏมาอูเตที่จะโชว์ผลงานเพื่อให้ไอเอสรับรองพวกเขาเป็นสาขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระบุว่า นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากลุ่มติดอาวุธในภาคใต้ของฟิลิปปินส์มีทุนสนับสนุนและการประสานงานที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวกรองฟิลิปปินส์ซึ่งระบุว่า ในบรรดานักรบ 400-500 คนที่บุกยึดเมืองมาราวี มีถึง 40 คนที่เป็นนักรบต่างชาติ โดยนอกจากชาวอินโดนีเซียและมาเลเซียแล้ว ยังมีชาวปากีสถาน, ซาอุดีอาระเบีย, เชชเนีย, เยเมน, อินเดีย โมร็อกโก และตุรกี อย่างน้อยประเทศละ 1 คน
“ไอเอสกำลังสูญเสียพื้นที่ยึดครองในอิรักและซีเรีย และมีการกระจายตัวออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ในเอเชียและตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ... หนึ่งในพื้นที่ที่พวกเขากำลังแผ่อิทธิพลก็คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีฟิลิปปินส์เป็นศูนย์กลาง” โรฮาน กุนารัตนา ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงจากสถาบันระหว่างประเทศศึกษา เอส. ราชารัตนัม ในสิงคโปร์ กล่าว
มินดาเนาซึ่งเป็นเกาะใหญ่ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์และมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายมานานหลายทศวรรษ ทั้งจากปัญหาอาชญากรรม การก่อความไม่สงบ และขบวนการแบ่งแยกดินแดน ขณะเดียวกันก็มีเสียงเตือนมานานเช่นกันว่า ภาวะความยากจน การละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และการคุ้มกันพรมแดนที่ไม่เข้มงวด อาจทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นฐานก่อการของกลุ่มหัวรุนแรง
แม้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไอเอสและเครือข่ายที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอสจะออกมาอ้างความรับผิดชอบในการโจมตีในหลายพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายครั้ง แต่การสู้รบในมาราวีถือเป็นครั้งแรกที่มีการเผชิญหน้ากันอย่างยืดเยื้อระหว่างคนกลุ่มนี้กับกองกำลังของรัฐบาล
เมื่อปีที่แล้ว นักรบจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไปร่วมรบกับไอเอสในซีเรียได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเชิญชวนเพื่อนร่วมชาติให้เข้าร่วมขบวนการในฟิลิปปินส์ตอนใต้ หรือก่อเหตุโจมตีภายในประเทศของตน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงซีเรีย
ซิดนีย์ โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลุ่มก่อการร้ายในกรุงจาการ์ตา ได้เปิดเผยข้อความในห้องแชตของผู้สนับสนุนไอเอสในแอปพลิเคชัน Telegram โดยผู้ใช้คนหนึ่งอ้างว่า ตนอยู่ใจกลางเมืองมาราวี และเห็นทหาร “วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนราวกับหมู” ทั้งยังขอให้คนอื่นๆ ในกลุ่มแชตส่งข้อมูลให้กับสำนักข่าวอามักนิวส์ ซึ่งเป็นสื่อของไอเอสในตะวันออกกลาง
ผู้ใช้อีกคนได้ตอบเป็นภาษาอาหรับว่า “ฮิจเราะห์ (อพยพ) ไปยังฟิลิปปินส์กันเถอะ ประตูเปิดแล้ว”
อาย็อบ ข่าน ไมดิน พิตเจย์ ผู้บัญชาการตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของมาเลเซีย ระบุว่า มีชาวมาเลเซีย 4 คนเดินทางไปร่วมรบที่เกาะมินดาเนา โดยหนึ่งในนั้นคือ “มะห์มูด อะหมัด” อาจารย์มหาวิทยาลัยในมาเลเซียที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้นำเครือข่ายไอเอสในฟิลิปปินส์คนต่อไป หาก ฮาปิลอน ถูกสังหาร
กุนารัตนา ระบุว่า อะหมัด ผู้นี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายไอเอสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสถาบันของเขาพบว่า นักรบ 8 คนใน 33 คนที่ถูกสังหารในช่วง 4 วันแรกของการต่อสู้ที่มาราวีเป็นนักรบต่างชาติ ซึ่งบ่งชี้ว่าองค์ประกอบของเครือข่ายไอเอสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และยังเป็นสัญญาณว่าไอเอสเริ่มหยั่งรากลึกในภูมิภาคแถบนี้
ด้านเจ้าหน้าที่ในกรุงจาการ์ตาเชื่อว่า มีชาวอินโดนีเซีย 38 คนเดินทางไปยังภาคใต้ของฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมกับพวกสมุนไอเอส และ 22 คนในจำนวนนี้ร่วมต่อสู้ในมาราวี ทว่าแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนามอีกคนหนึ่งเผยว่า ตัวเลขที่แท้จริงของนักรบอินโดนีเซียที่ร่วมต่อสู้ในมาราวีน่าจะมากกว่า 40 คน
รัฐบาลอิเหนาได้เพิ่มมาตรการตรวจตราชายแดนด้านเหนือสุดของเกาะกาลิมันตันและสุลาเวสี เพื่อสกัดผู้ที่จะล่องเรือไปร่วมรบในฟิลิปปินส์ และเพื่อป้องกันพวกที่หนีการโจมตีของกองทัพฟิลิปปินส์ออกจากมาราวี
“ระยะทางจากมาราวีมายังเกาะของอินโดนีเซียใช้เวลาเดินทางแค่ 5 ชั่วโมง” แหล่งข่าวระบุ “เราจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในดินแดนของเรา และก่อเหตุโจมตีในลักษณะนั้นไม่ได้”