เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – เป็นกระแสไปทั่วหลังมีภาพปรากฎระหว่างอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯพรรคเดโมแครต อัล กอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2007 ผู้เปิดปัญหาภาวะโลกร้อน ข้ามค่ายเดินทางไปทรัมป์ทาวเวอร์ นิวยอร์ก ในวันจันทร์(5 ธ.ค)พบกับ อีวังกา ทรัมป์ ลูกสาวและว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ที่เคยทวีตปี 2014 ท่ามกลางวิกฤตโพลาร์ วอร์เทกซ์ มีความหนาวเยือกติดลบ 50 องศาเซลเซียส ตั้งคำถาม “พวกเรากำลังผจญกับภัยความหนาวมากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยประสบมาก่อน แล้วยังจะ “ภาวะโลกร้อน” กันอยู่อีกไหม???” และการพบกันทำให้สื่อสหรัฐฯสนใจและจับตาถึงบทบาทของอีวังกา และอำนาจต่อการทำนโยบายสหรัฐฯในรัฐบาลทรัมป์
เดอะแอตแลนติก สื่อการเมืองสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(6 ธ.ค)ถึงบทบาทของอีวังกา ทรัมป์ ลูกสาวโดนัลด์ ทรัมป์วัย 35 ปี ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป หลังจากมีข่าวในตอนแรกว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯพรรคเดโมแครต อัล กอร์ จะพบกับลูกสาวของทรัมป์ และยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเมื่อปรากฏว่า หลังจากที่เธอและอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯพบกันแล้ว กอร์ เจ้าของเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพปี 2007 ในการเป็นผู้จุดประเด็นปัญหาโลกร้อนได้พบปะกับโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯพรรครีพับลิกัน ที่ทั้งตัวทรัมป์และพรรคมีจุดยืน “ปฎิเสธการมีอยู่จริงของปัญหาโลกร้อน”
สื่อการเมืองสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตถึงลูกสาวทรัมป์และจุดยืนปัญหาโลกร้อนในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า ไม่ปรากฏถึงการประกาศในเรื่องสภาวะโลกร้อนในช่วงการหาเสียง และทำให้เดอะแอตแลนติกชี้ไปถึงการพบกันแบบข้ามขั้วข้ามค่ายในวันจันทร์(5 ธ.ค)ว่า การพบปะที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นเรื่องปิดลับ”
เดอะแอตแลนติกให้ความเห็นต่อว่า สิ่งที่ชี้ไปถึงความสนใจในเรื่องภาวะโลกร้อนของอีวังกานั้น สื่อการเมืองสหรัฐฯ เดอะโพลิติโกรายงานเมื่อต้นเดือนนี้โดยอ้างอิงมาจากแหล่งข่าวใกล้ชิดที่ให้ความเห็นว่า “แหล่งข่าวใกล้ชิดกับ[อีวังกา]ได้กล่าวว่า “อีวังกาต้องการให้ปัญหาสภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกเป็นนโยบายที่จะทำให้โลกจดจำเธอ” ซึ่งอาจจะเรียกว่า ตำแหน่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบปัญหาสภาวะโลกร้อน (climate czar)ให้กับรัฐบาลทรัมป์ โดยหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯรายงานในวันจันทร์(5 ธ.ค)ชี้ว่า เป็นสิ่งที่อีวังกาต้องการให้โลกเห็นในฐานะบุตรสาวหมายเลข 1 แห่งสหรัฐฯ และในการรายงานได้อ้างอิงไปถึงไทม์สที่ได้วิเคราะห์ว่า หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ***อีวังกา ทรัมป์ จะเป็นลูกสาวประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรกที่มีอำนาจมากที่สุดตั้งแต่ประเทศอเมริกาก่อตั้งขึ้นมา***
วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมต่อว่า และการพบกับอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต กอร์ ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญของสหรัฐฯที่เป็นเสมือนผู้ที่ทำให้โลกรู้จักภาวะโลกร้อนเป็นครั้งแรกได้ส่งให้อีวังกาเป็นที่จับตาทางการเมืองมากยิ่งขึ้น ซึ่งการพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นได้ โดยการจัดการของอีวังกา ทรัมป์ ซึ่งวอชิงตันโพสต์ชี้ว่า อีวังกาเป็นผู้ส่งบัตรเชิญกอร์ ที่ถือเป็นหัวหน้านักวิทยาศาตร์ทางด้านสภาวะโลกร้อนมาพบกับเธอที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ แต่หนังสือพิมพ์สหรัฐฯชี้ว่า ในการเชิญครั้งนี้กอร์ไม่ทราบล่วงหน้าว่า โดนัลด์ ทรัมป์ บิดาของอีวังกา ที่รู้จักในฐานะ “บุคคลไม่เอาภาวะโลกร้อน” และยังเป็นเจ้าของวาทะ “โลกร้อนไม่มีจริง แต่เป็นการต้มตุ๋นจากปักกิ่ง” นั้นจะพบกับกอร์ด้วยเช่นกัน
วอชิงตันโพสต์ชี้ต่อถึงการเดินทางมาพบกับเพื่อนต่างค่ายการเมืองที่มีจุดยืนต่างกันในครั้งนี้ว่า หลักการของกอร์นั้นชัดเจน “หากบุตรสาวผู้ทรงอิทธิพลของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯต้องการปรึกษาถึงปัญหาสุนัขที่เลี้ยงไว้ คุณต้องรีบตอบรับคำเชิญ”
สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมต่อว่า ดูเหมือนว่าในช่วงระหว่างการหาเสียง อีวังกา ทรัมป์ จะถูกใช้เป็นโทนเสียงที่อ่อนลงของตัวว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ เป็นต้นว่า บนเวทีประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน RNC อีวังกากล่าวถึงนโยบายการดูแลเด็ก ซึ่งเป็นนโยบายที่ทรัมป์ไม่เคยประกาศกลางเวทีหาเสียง
เดอะแอตแลนติกรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากการพูดคุยหารือระหว่างกอร์และโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ออกมายอมรับกับกองทัพนักข่าวว่า “ผมและว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้มีการหารืออย่างสร้างสรรค์และครอบคลุม” และกล่าวต่อว่า “เป็นการเจรจาเพื่อหาจุดยืนร่วมกันในประเด็นอย่างตรงไปตรงมา”
และถึงกับตกตะลึงเมื่อเจ้าพ่อภาวะโลกร้อน กอร์ ได้เอ่ยปากชมถึงการพบกับทรัมป์ ซึ่งครั้งหนึ่งตัวแทนพรรครีพับลิกันเคยทวีตในวันที่ 7 มกราคม 2014 (อ้างอิงจากสื่อ heavy.com รายงานวันที่ 20 พ.ย 2016 ว่าด้วยรวบรวม 55 ทวีตปฎิเสธว่าด้วยโลกร้อนของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ โดนัลด์ ทรัมป์ ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2012 ) ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯต้องพบกับวิกฤตภัยโพลาร์ วอร์เทกซ์ที่มีความเย็นเฉียบระดับขั้วโลกเหนือด้วยอุณหภูมิติดลบ 50 องศาเซลเซียส
โดยทรัมป์ในครั้งนั้นได้กล่าวว่า “พวกเรากำลังผจญกับภัยความหนาวมากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยประสบมาก่อน แล้วยังจะ “ภาวะโลกร้อน” กันอยู่อีกไหม???”
เดอะแอตแลนติกรายงานว่า กอร์ได้ให้ความเห็นถึงการสนทนากับทรัมป์ในวันจันทร์(5 ธ.ค)ว่า “ผมได้ประจักษ์ว่าเป็นการพูดคุยที่น่าสนใจมาก และต่อเนื่อง และตัวผมจะปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น” แต่ทว่าในวันเดียวกันนั้นในช่วงค่ำ กอร์ได้ให้สัมภาษณ์กับคริสต์ เฮย์ (Chris Hayes) ในรายการ ALL IN ทางสื่อทีวีอเมริกา MSNBC ซึ่งกอร์ได้เปิดเผยถึงการสนทนาและสิ่งที่เขาได้รับจากการพบกับอีวังกา ทรัมป์ในเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อนว่า “ไม่ใช่เรื่องที่ถูกปิดเป็นความลับที่พบว่าอีวังกา ทรัมป์ต้องการที่จะทำนโยบายปัญหาสภาวะโลกร้อน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญต่อประเทศของเรา ต่อโลกของเรา และนั่นถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ปรากฎในการสนทนาที่ผมได้มีกับอีวังกา” และกล่าวต่อว่า “ผมรู้สึกยินดีที่บุตรสาวของทรัมป์ให้ความสนใจในเรื่องนี้”
แต่อย่างไรก็ตาม เดอะแอตแลนติกได้เตือนว่า ทว่าทีมงานใกล้ชิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของทรัมป์ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่ต่อต้านแนวคิดปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างทั้งสิ้น เป็นต้นว่า ไมรอน เอ็ยเบล(Myron Ebell) หัวหน้าทีมเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม EPA นั้นมีจุดยืน “ปฎิเสธการมีอยู่จริงของภาวะโลกร้อน” ในขณะที่ โทมัส ไพล์(Thomas Pyle) และ โด โดเมดนช(Doug Domenech) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์เช่นกัน ได้ออกมาปฎิเสธสิ่งเหล่านี้ โดยอ้างว่า หลักฐานการพิสูจน์การมีอยู่จริงของ “สภาวะโลกร้อน” นั้นล้วนแต่ถูกพบในโมเดลแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์มากกว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
และบรรยากาศการพบปะนั้น CNN สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ก่อนการพบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจสัน มิลเลอร์( Jason Miller) โฆษกของทรัมป์ได้แถลงกับนักข่าวว่า อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ อัล กอร์ จะพบกับอีวังกา ทรัมป์ บุตรสาวทรัมป์ และคนทั้งคู่จะพูดคุยในเรื่องปัญหาโลกร้อน แต่ทางโฆษกของทรัมป์ไม่ได้ระบุลงไปถึงประเด็นที่เน้นหนักในการหารือ ซึ่งดูเหมือนการพบกันระหว่างกอร์และทรัมป์แบบสองต่อสองจะเป็นเรื่องที่ปิดลับมาก เพราะมิลเลอร์ได้ยืนยันกับกองทัพนักข่าวว่า จะไม่มีการพบปะระหว่างกอร์และทรัมป์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ทว่าหลังจากเสร็จสิ้นการหารือในเวลา 1.30 ชม. ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ ป้อมบัญชาการของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯในเมืองนิวยอร์ก ซิตี จากการรายงานของ MSNBC กอร์ได้ออกมายอมรับกับกองทัพนักข่าวว่า หลังจากที่เขาได้พบกับอีวังกาแล้ว เขายังพบกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ และได้มีโอกาสปรึกษาหารือร่วมกัน
ทั้งนี้เชื่อว่าการพบปะระหว่างกอร์และตระกูลทรัมป์อาจเรียกว่าในเชิงบวก โดยสื่ออังกฤษ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนชี้ในวันจันทร์(5 ธ.ค)ว่า 2 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส โดยยอมรับว่า ตัวเขาเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างมนุษย์และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และยังยอมรับต่อว่า อากาศที่สะอาดถือเป็นเรื่องสำคัญ และในเรื่องว่าด้วยข้อตกลงปารีสว่าด้วยสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศโลก ทรัมป์ประกาศว่า “ผมจะตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ผมเปิดกว้างในทุกความเห็น” หลังจากในช่วงแรกหลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ได้เคยประกาศว่า เขาจะถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยภาวะโลกร้อน และจะตัดการให้เงินช่วยเหลือโปรเจกต์พลังงานสะอาด