เอเอฟพี - มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดสงครามน้ำลายกับจีนผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ (4 ธ.ค.) โดยกล่าวหาปักกิ่งว่ามีพฤติกรรมปั่นค่าเงิน และยังใช้อิทธิพลทางทหารคุกคามเพื่อนบ้านรอบๆ ทะเลจีนใต้
การปะทะคารมครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 2 วัน หลังจากที่ ทรัมป์ ได้แหวกธรรมเนียมการทูตด้วยการพูดคุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน แห่งไต้หวัน ทั้งยังขู่จะเปิดสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 และ 2 ของโลก
ทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างหนักมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และในขณะที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในเดือนหน้า เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าพร้อมจะแลกหมัดกับจีนอย่างก้าวร้าว
มหาเศรษฐีวัย 70 ปี ได้ทวีตข้อความว่า “จีนเคยถามเราบ้างไหมว่า เราโอเคหรือเปล่าที่พวกเขาลดค่าเงิน (ซึ่งทำให้บริษัทของเรายากจะแข่งขันด้วย), เก็บภาษีสินค้าของเราที่ส่งไปขายในจีนในอัตราสูง (ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่เก็บภาษีพวกเขา) หรือว่าไปสร้างค่ายทหารขนาดใหญ่เอาไว้กลางทะเลจีนใต้”
“ผมว่าไม่นะ!”
แม้จีนจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่ในปี 2015 อเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่าถึง 366,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งในแง่ของสินค้าและบริการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.6%
นักการเมืองสหรัฐฯ หลายคนกล่าวหาจีนว่าจงใจกดค่าเงินหยวน (เหรินหมินปี้) ให้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อกระตุ้นการส่งออก โดยเงินหยวนนั้นอ่อนค่าลงถึง 15% ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ทรัมป์ เคยสัญญาว่าจะตราหน้าจีนเป็น “นักปั่นค่าเงิน” ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งก็หมายความว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะต้องเปิดเจรจากับปักกิ่ง เพื่อขอให้ปล่อยค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวอย่างยืดหยุ่นมากขึ้น
การที่จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงการเป็น “เจ้าหนี้” รายใหญ่ ทำให้วอชิงตันมีอำนาจต่อรองไม่มากนัก อย่างไรก็ดี คำประกาศของ ทรัมป์ ก็อาจบั่นทอนความร่วมมือระหว่างสองมหาอำนาจและกลายเป็นชนวนไปสู่สงครามการค้า
ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่า จีนเก็บภาษีสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตราเฉลี่ย 15.6% และ 9% สำหรับสินค้าประเภทอื่น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากฟาร์มของจีนและสินค้าอื่นๆ ที่ส่งไปขายในอเมริกาจะถูกเก็บภาษีเพียง 4.4% และ 3.6% ตามลำดับ
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (2) ทรัมป์ ประกาศว่าตนได้รับโทรศัพท์จากประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน แห่งไต้หวัน ซึ่งกล่าวแสดงความยินดีที่ตนได้ชัยชนะในศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ
แม้ ทรัมป์ จะอ้างว่า ไช่ เป็นฝ่ายติดต่อมาหาก่อน แต่ก็ถือเป็นการแหวกธรรมเนียมของผู้นำสหรัฐฯ ที่ประกาศยอมรับนโยบาย “จีนเดียว” มาตั้งแต่ยุคของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ในปี 1979
รัฐบาลจีนถือว่าไต้หวันเป็นเพียง “มณฑลทรยศ” ที่จะต้องถูกผนวกรวมเข้ากับแผ่นดินใหญ่ในสักวันหนึ่ง และหากสหรัฐฯ แสดงท่าทีสนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นเอกราชก็อาจก่อความบาดหมางอย่างรุนแรงกับจีน
ไมค์ เพนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามบรรเทาความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่าการที่ ทรัมป์ รับโทรศัพท์จาก ไช่ อิง-เหวิน นั้นเป็นการกระทำตาม “มารยาท” เท่านั้น และหากสหรัฐฯ จะปรับเปลี่ยนจุดยืนที่มีต่อจีนจริงๆ ก็จะต้องตัดสินใจหลังจากที่ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีแล้ว
ด้านปักกิ่งก็ออกมาตอบโต้เรื่องนี้อย่างระมัดระวัง โดยสื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนชี้ว่า ทรัมป์ ทำลงไปเพราะยัง “ขาดประสบการณ์”