เอเอฟพี - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เผยในรายงานฉบับล่าสุดเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) ระบุ ค่าเงินหยวนอ่อนลงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เพราะ “แรงกดดันทางตลาด” ขณะที่มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ยังคงเดินหน้ากล่าวหาจีนว่าปั่นค่าเงิน
จากผลการตรวจติดตามรายครึ่งปีที่สภาคองเกรส สั่งให้จัดทำขึ้นเพื่อตรวจสอบว่าบรรดาชาติคู่แข่งการค้าของสหรัฐฯ ใช้นโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออกหรือไม่ กระทรวงการคลัง พบว่า ปรากฏการณ์เงินหยวนอ่อนค่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดจากแรงกดดันทางการตลาด (market pressures) เป็นหลัก
สหรัฐฯ ยังพบว่า ค่าเงินหยวน หรือ “เหริน หมิน ปี้” (RMB) อาจดิ่งลงมากกว่าที่เป็นอยู่ หากรัฐบาลจีนไม่ได้มีมาตรการป้องกันเอาไว้
“การที่จีนแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศได้ช่วยป้องกันไม่ให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเร็วเกินไป ซึ่งจะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเศรษฐกิจของจีน และเศรษฐกิจทั่วโลก” กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้จีนผ่อนคลายนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นไปอีก และบริหารตลาดการเงินอย่างโปร่งใส
“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จีนจะต้องปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นไปตามกลไกตลาด และเปิดโอกาสให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นได้ 2 ทาง (two-way flexibility)”
ระหว่างการเดินสายหาเสียงแข่งกับ ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ทรัมป์ ได้กล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จีนพยายามทำให้ค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อกระตุ้นการส่งออก และทำให้สินค้าที่ทำเข้าจากสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้น
มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์วัย 70 ปี ยังขู่จะตั้งกำแพงกีดกันสินค้าจากจีน หากตนได้เป็นประธานาธิบดี
แนวนโยบายหลักของ ทรัมป์ ยังรวมถึงการสั่งให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศตราหน้าจีนว่า เป็นชาติที่ปั่นค่าเงิน (currency manipulator) ซึ่งจะนำไปสู่บทลงโทษคว่ำบาตรทางการค้า