(เก็บความจากรายงานของบีบีซีนิวส์)
Jared Kushner: The quiet millionaire with Donald Trump's ear
15/11/2016
จาเรด คุชเนอร์ มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของหนังสือพิมพ์วัย 35 ปี เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่หน้ากล้องและพูดจาเสียงเบานุ่มนวล เขากำลังกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ชิดที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้เป็นพ่อตาของเขา
ขณะที่โลกเฝ้ารอคอยให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป และ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีอเมริกันคนปัจจุบันที่ใกล้จะพ้นวาระ ออกมาปรากฏตัวภายหลังพบปะหารือกันที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กล้องทีวีและกล้องถ่ายภาพทั้งหลายได้ตามรอยจับภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินตัดลานสนาม ในอาการสนทนาอย่างขะมักเขม้นกับ เดนิส แมคโดนัท (Denis McDonough) ประธานเจ้าหน้าที่ (chief of staff) ทำเนียบขาวของโอบามา
แมคโดนัทกำลังพูดถ่ายทอดเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับทำเนียบขาว แก่ จาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner) มหาเศรษฐีเงินล้านวัย 35 ปีผู้พูดจาเสียงเบานุ่มนวล ซึ่งค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ชิดที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ คุชเนอร์ซึ่งแต่งงานกับ อีวังกา (Ivanka) บุตรสาวคนโปรดของทรัมป์ มีอำนาจอิทธิพลเหนือทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (รวมทั้งเรื่องยุทธศาสตร์ด้านดิจิตอล และการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งระดับท็อป) และดูเหมือนจะนำเอาอิทธิพลบารมีดังกล่าวเดินหน้าเข้าสู่ทำเนียบขาวด้วย
ปกติแล้วคุชเนอร์เป็นคนอายกล้องและรู้สึกแฮปปี้มากกว่าที่จะดำเนินการอย่างข้างหลังฉาก ตัวเขาเองก็เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มั่งคั่งร่ำรวยมากคนหนึ่งและยังมีความสนใจซื้อหาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ด้วย เขาเป็นเจ้าของตีกระฟ้า “666 ฟิฟธ์ เอเวนู” (666 Fifth Avenue) ที่ตั้งอยู่ถัดไปไม่กี่ช่วงตึกจากอาคาร “ทรัมป์ทาวเวออร์” (Trump Tower) ในนครนิวยอร์ก และในปี 2006 ขณะอายุเพียง 25 ปี เขาได้เข้าซื้อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์ (New York Observer) ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงได้รับการยกย่องอย่างสูง
เขาไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการใดๆ ภายในคณะบริหารทรัมป์ ทว่าคุชเนอร์ปรากฏชื่อเคียงคู่กับบุตรชายหญิงอีก 3 คนของทรัมป์ ในรายชื่อทีมงานเปลี่ยนผ่านรับมอบอำนาจจากคณะบริหารโอบามา รวมทั้งกล่าวกันว่าเขาเป็นผู้ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีเชื่อถือพร้อมรับฟังความคิดเห็น
ในฐานะที่เป็นชาวยิวผู้เคร่งครัดจารีต โดยที่คุณปู่คุณย่าของเขาก็เป็นผู้รอดชีวิตจากการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย คุชเนอร์ได้ใช้บทบรรณาธิการในนิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์ มาปกป้องแก้ต่างให้ทรัมป์จากข้อกล่าวหาที่ว่าเขาเป็นพวกลัทธิต่อต้านยิว เมื่อผู้สมัครผู้นี้ทวิตภาพของคู่แข่งขัน ฮิลลารี คลินตัน บนพื้นหลังที่เต็มไปด้วยธนบัตร พร้อมกับดาว 6 แฉก และมีข้อความว่า “ผู้สมัครที่ขี้โกงที่สุดเท่าที่เคยมีมา” และถูกนักวิจารณ์โจมตีว่าดาวดังกล่าวทรัมป์ตั้งใจให้คิดไปถึงดาวแห่งเดวิด (Star of David) ของชาวยิว
“ผู้คนต่างมองเห็นสิ่งต่างๆ ในตัวเขา (ทรัมป์) ในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะมองเห็น” คุชเนอร์เขียนในบทบรรณาธิการ “ถ้าพวกเขาไม่ชอบการเมืองในแบบของเขา พวกเขาก็จะมองเห็นสิ่งอื่นๆ ซึ่งพวกเขาไม่ชอบ อย่างเช่น ลัทธิเหยียดเชื้อชาติ ถ้าพวกเขาชอบการเมืองในแบบของเขา พวกเขาก็จะจินตนาการได้ว่า พวกเขากำลังได้ยิน “นกหวีดเรียกสุนัข” ถูกเป่าดังลั่น (ให้พวกนักวิจารณ์รีบเข้าโจมตีเล่นงานทรัมป์) เขายังจะแตะต้องหัวข้อต่างๆ ซึ่งพวกนักการเมืองพยายามที่จะหลีกเลี่ยงต่อไป นี่แหละคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้”
มรดกมหาศาลที่ปนเปื้อนด้วยเรื่องอื้อฉาว
จาเรด คุชเนอร์ ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความสะดวกสบายในเมืองลิฟวิ่งสตัน (Livingston) มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยที่มีน้องชาย 1 คน และน้องสาวอีก 2 คน คุณปู่คุณย่าของเขาได้หลบหนีออกจากโปแลนด์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และมาถึงสหรัฐฯในปี 1949 ขณะที่ ชาร์ลส์ คุชเนอร์ (Charles Kushner) บิดาของเขาสร้างตัวเองจนมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาในฐานะเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในนิวเจอร์ซีย์
จาเรดหนุ่มสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ ถึงแม้ทำเกรดได้แย่มากในตอนเรียนมัธยมปลาย ทั้งนี้ตามการศึกษาค้นคว้าของ แดเนียล โกลเดน (Daniel Golden) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Price of Admissions: How America's Ruling Class Buys Its Way into Elite Colleges (ราคาของการเข้ามหาวิทยาลัย: ชนชั้นปกครองของอเมริกาใช้วิธีไหนซื้อหนทางเข้าสู่สถาบันการศึกษาชั้นนำ) ในหนังสือของโกลเดนเล่มนี้ ปีที่จาเรดเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ปรากฏว่าชาร์ลส์ คุชเนอร์ ได้บริจาคเงิน 2.5 ล้านดอลลาร์ให้ฮาร์วาร์ด พร้อมๆ กับที่บริจาคเงินหนเดียวก้อนโตๆ ทำนองนี้ให้แก่คอร์แนล และพรินซ์ตัน ด้วย
เฉกเช่นเดียวกับ เฟรด (Fred) บิดาของทรัมป์ ซึ่งเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัย์เหมือนกัน คุชเนอร์ผู้พ่อก็เป็นบุคคลผู้ก่อให้เกิดการโต้เถียงขัดแย้งอย่างแรงๆ เขาถูกจำคุกด้วยข้อหาหลบหนีภาษี, บริจาคเงินช่วยการหาเสียงเลือกตั้งอย่างผิดกฎหมาย, และติดสินบนพยาน เขายอมรับสารภาพว่าหลอกล่อให้น้องเขยของเขาเองติดกับโดยอาศัยโสเภณีผู้หนึ่ง จากนั้นก็บันทึกภาพสายสัมพันธ์ลับๆ นี้ และส่งไปให้น้องสาวของเขา ในความพยายามที่จะห้ามปรามไม่ให้พวกเขาไปให้การในศาลเพื่อเล่นงานเขา (ดูรายละเอียดที่http://www.nytimes.com/2004/08/19/nyregion/major-donor-admits-hiring-prostitute-to-smear-witness.html)
บุคคลที่ทำคดีฟ้องร้องคุชเนอร์ผู้พ่อในคราวนั้น คือ คริส คริสตี (Chris Christie) ซึ่งตอนนั้นเป็นอัยการสหรัฐฯอยู่ที่นิวเจอร์ซีย์ และต่อมาก็ได้เป็นผู้ว่าการมลรัฐดังกล่าว รวมทั้งเป็นคนหนึ่งที่ลงแข่งขันเพื่อเป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้ด้วย ทว่าสู้ทรัมป์และคนอื่นๆ อีกหลายคนไม่ได้ จึงต้องยอมถอนตัวออกไป หลังจากนั้นเขาก็หันกลับมาสนับสนุนทรัมป์ มีรายงานว่า จาเรด คุชเนอร์ มีบทบาทเกี่ยวข้องในการให้คำปรึกษาแก่พ่อตาของเขา ไม่ให้เลือกคริสตี แต่เลือก ไมก์ เพนซ์ (Mike Pence) เป็นผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับทรัมป์ ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่ทรัมป์เป็นผู้ชนะแล้ว คริสตีซึ่งตอนแรกได้เป็นประธานของทีมเตรียมการถ่ายโอนรับมอบตำแหน่งของว่าที่ประธานาธิบดี ได้ถูกลดชั้นลงไปเป็นแค่รองประธาน โดยทรัมป์แต่งตั้งว่าที่รองประธานาธิบดีเพนซ์ ให้ทำหน้าที่นี้แทน ทั้งนี้มีรายงานข่าวหลายกระแสระบุอีกว่า นี่ก็มีจาเรด คุชเนอร์ อยู่เบื้องหลังเช่นกัน
ทั้งคุชเนอร์และทรัมป์ต่างได้รับมรดกอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์อันใหญ่โตจากบิดาของพวกเขาตั้งแต่ที่อายุยังค่อนข้างน้อย และความผูกพันที่ดูเหมือนเข้ากันได้ดีของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการมีประสบการณ์คล้ายๆ กันเช่นนี้ บิดาของทรัมป์ ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่า เฟรเดอริค คริสต์ ทรัมป์ (Frederick Christ Trump) เป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงขัดแย้งอย่างแรงๆ เช่นกัน โดยเคยถูกฟ้องศาลในข้อหากีดกันแบ่งผิวในการจัดสรรที่อยู่อาศัย ทรัมป์ผู้พ่อ ซึ่งในตอนนั้นได้รับการปกป้องแก้ต่างอย่างแข็งขันจากโดนัลด์ผู้บุตรชาย ได้ทำการตกลงรอมชอมนอกศาลโดยไม่ต้องยอมรับความผิด
คุชเนอร์ กับ ทรัมป์ ยังมีส่วนเหมือนกันอีกในเรื่องการขาดไร้ประสบการณ์ทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง ในบทบรรณาธิการของเขาที่เขียนลงนิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์ ปรากฏว่าคุชเนอร์กลับเสนอแนะให้นำเอาวิธีปฏิบัติทางธุรกิจมาใช้กับการเมือง
“รัฐบาลนั้นสร้างขึ้นมาโดยที่มีสิ่งรองรับหลายๆ ชั้นมากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงงดเว้นจากการกระทำความผิดพลาด” เขาเขียนเอาไว้เช่นนี้ “ปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาพเช่นนี้ก็คือมันสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากและแทบไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จ ในทางธุรกิจนั้น เรามอบอำนาจให้พวกคนฉลาดไปทำงานให้สำเร็จ และให้อิสระแก่พวกเขาในเรื่องการหาวิธีการไปสู่บรรลุผลดังกล่าว”
ทรัมป์กล่าวยกย่องชมเชยบุตรเขยของเขาว่า กำลัง “ทำได้ดีมากในเรื่องการเมือง” และดูเหมือนจะไว้เนื้อเชื่อใจการวินิจฉัยของเขา เมื่อตอนที่ คอรีย์ เลวานดอว์สกี (Corey Lewandowski) ผู้จัดการทีมหาเสียงของทรัมป์ที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมากมาย ถูกไล่ออกไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีรายงานว่าคุชเนอร์ซึ่งมีความบาดหมางเกิดการปะทะกับเลวานดอว์สกี เป็นผู้ที่ผลักดันทรัมป์ให้ลงดาบ
การครองฐานะเป็นเจ้าของนิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์ของคุชเนอร์นั้น ก็ใช่ว่ากำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น เขามีเรื่องปะทะขัดแย้งกับ ปีเตอร์ แคแพลน (Peter Kaplan) ผู้ดำรงตำแหน่งบรรณาธิการที่ได้รับการยกย่องนับถือของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มา 15 ปี และ แคแพลนก็ลาออกไปหลังจากคุชเนอร์เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการได้ 3 ปี นับจากนั้นจนถึงปัจจุบันที่เป็นเวลาอีก 7 ปีแห่งการเป็นเจ้าของนิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์ของบุตรเขยของทรัมป์ผู้นี้ ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนตัวบรรณาธิการเป็นคนที่ 6 แล้ว ขณะที่กล่าวกันว่าคุณภาพของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ตกต่ำลงไป
เหมือนๆ กับผู้คนจำนวนมากในทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ ซึ่งมีผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างๆ หลายหลาก ยังไม่เป็นที่ชัดเจนในขณะนี้ว่า จากการที่คุชเนอร์เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ จะทำให้ถูกพิจารณาว่ามีความขัดแย้งกับการที่เขาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประธานาธิบดีคนใหม่หรือไม่ เมื่อตอนที่พูดกับนิวยอร์กไทมส์ในปีที่แล้ว (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nytimes.com/2015/04/29/realestate/commercial/a-conversation-with-jared-c-kushner.html) เขากล่าวว่าการที่เขาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ซึ่งมีหน้าอสังหาริมทรัพย์ด้วยนั้น ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับการดำเนินธุรกิจของเขาในฐานะที่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ “มีคนวิพากษ์วิจารณ์ผมนะ” เขากล่าว “แต่นักพัฒนาจำนวนมากทีเดียวไม่เข้าใจว่า ผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเนื้อหา (ของนิวยอร์กอ็อบเซอร์เวอร์)”
ตรงกันข้ามกับพ่อตาของเขา กล่าวกันว่าคุชเนอร์เป็นคนใจเย็นและมีบุคลิกภาพที่หนักแน่น, ไม่ชอบอยู่หน้ากล้องและลังเลที่จะยืนอยู่แถวหน้า เขายังเป็นคนพูดน้อยด้วยเสียงที่เบานุ่มนวล และดูอ่อนเยาว์แม้เมื่อเทียบกับวัย 35 ปีของเขา แต่จากการที่เขาเข้าเกี่ยวข้องพัวพันอย่างกว้างขวางกับทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ และมีรายงานว่าผูกพันเข้ากันได้ดีกับว่าที่ประธานาธิบดีด้วย เหล่านี้บ่งบอกให้เห็นว่า เขาอาจจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากมายใหญ่โตในวอชิงตันได้ทีเดียว
(จาก http://www.bbc.com/news/world-us-canada-37986429)