เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลสหรัฐฯชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามาจากพรรคเดโมแครตมีนโยบายในการปิดล้อม และสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการที่รัฐบาลโอบามาเข้า “ถือหาง” ฝ่ายตรงข้ามกับมอสโกอย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะในกรณีวิกฤตการเมืองในยูเครน และสงครามกลางเมืองในซีเรีย
อย่างไรก็ดี ในเวลานี้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองข้ามช็อต ไปที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า จะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามและง่อนแง่น ระหว่างวอชิงตันกับมอสโก รวมถึงผลกระทบต่อสงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2011
ล่าสุดในสัปดาห์นี้แดเนียล แม็คอาดัมส์ ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันวิชาการ หรือ “ถังความคิด” ชื่อก้องของอเมริกา อย่างสถาบัน Ron Paul Institute for Peace and Prosperity ออกมาให้ความเห็นแบบฟันธงว่า ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียในยุคของประธานาธิบดีโอบามา จะถูกสั่นคลอนและประสบกับวิกฤตยิ่งกว่าเดิม หากตัวแทนพรรคเดโมแครตอย่างนางฮิลลารี คลินตัน ที่เป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเมืองลุงแซมคนต่อไป
ผู้อำนวยการบริหารของสถาบัน Ron Paul ให้ความเห็นว่าจุดยืนทางด้านนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวของฮิลลารี คลินตัน ที่เธอได้ประกาศไว้ตลอดระยะเวลาการหาเสียงที่ผ่านมา รวมถึง รายชื่อของบรรดาทีมที่ปรึกษาของเธอซึ่งเรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดเป็นพวก “แอนตี้-รัสเซีย” บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและมอสโก รวมถึง สถานการณ์สงครามกลางเมืองในซีเรียจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะท่าทีของคลินตัน ในการประกาศเดินหน้านโยบายปกป้องยุโรปตะวันออก จากภัยคุกคามของรัสเซีย และประกาศเพิ่มการสนับสนุน “กบฏซีเรีย” รวมถึง การโค่นล้มระบอบการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ถือเป็น “มหามิตร” ของวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม มีการเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยความคิดเห็นสาธารณะแห่งรัสเซีย (Russian Public Opinion Research Center) ซึ่งพบข้อมูลว่า มีชาวรัสเซีย 29 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 1 ใน 3 ที่เชื่อว่า หากโดนัลด์ ทรัมป์ที่เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ น่าจะช่วยให้สายสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับรัสเซียได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้น
ในทางกลับกันผลสำรวจชิ้นเดียวกันนี้กลับพบข้อมูลว่า มีชาวรัสเซียเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์ทั้งสองชาติ จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟูให้ดีขึ้นหากว่านางฮิลลารี คลินตันเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกจากนี้ ผลสำรวจล่าสุดยังพบว่า 45 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบครึ่งหนึ่ง ของกลุ่มตัวอย่างชาวรัสเซียที่เข้าร่วมการตอบแบบสอบถามในครั้งนี้ เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย จะเลวร้ายย่ำแย่หนักกว่าเดิม หาก ฮิลลารี คลินตัน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป
ไม่เพียงแต่สำนักวิจัยชื่อดังของอเมริกา และผลสำรวจความคิดเห็นในรัสเซียเท่านั้นที่ชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย จะเลวร้ายย่ำแย่หนักกว่าเดิม หาก ฮิลลารี คลินตัน ได้เป็นก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ เพราะแม้แต่คู่แข่งของฮิลลารี ในสนามเลือกตั้งอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเอ่ยปากแสดงความกังวลว่า นโยบายต่อสงครามซีเรียของฮิลลารี คลินตัน อาจนำไปสู่การเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” เพราะเต็มไปด้วยท่าทียั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ซึ่งต่างก็เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ด้วยกัน
ในการให้สัมภาษณ์ที่เน้นเรื่องนโยบายต่างประเทศล่าสุด ทรัมป์ระบุว่า การเดินหน้าปราบกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ให้สิ้นซากถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการกดดันให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรียยอมสละอำนาจ อย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคโอบามายึดเป็นเป้าหมายหลักมาโดยตลอด
ทรัมป์ ในวัย 70 ปี ยังตั้งข้อสงสัยว่า ฮิลลารี คลินตันจะหันกลับไป “คืนดี” กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้อย่างไร หลังจากที่เธอออกโรงโจมตีผู้นำแดนหมีขาวอย่างต่อเนื่องมาเป็นแรมปี
ที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่า ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้ประกาศเขตห้ามบิน (no-fly zone) และเขตปลอดภัย (safe zones) เพื่อปกป้องพลเรือนในซีเรียที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบ
ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักให้ความว่า การประกาศพื้นที่คุ้มกันเช่นนี้ตามแนวทางของฮิลลารี ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงอย่างมหาศาล ที่จะทำให้สหรัฐฯ ต้องขัดแย้งโดยตรงกับฝูงบินขับไล่ของรัสเซีย ที่มีจุดยืนปกป้องรัฐบาลอัสซาด และกวาดล้างทั้งกลุ่มไอเอส ตลอดจนกบฏซีเรียกลุ่มก้อนอื่นๆ ที่สหรัฐฯให้การหนุนหลังทั้งทางด้านอาวุธและการเงิน
“สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดในยามนี้คือการเดินหน้าปราบปรามกลุ่มสุดโต่งอย่างไอเอส เราไม่ควรเน้นปัญหาภายในของซีเรียมากเกินไป และผมเชื่อว่า ปัญหาซีเรียจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ถ้าคุณเชื่อคำพูดของฮิลลารี คลินตัน เพราะเมื่อถึงเวลานั้น คุณจะไม่ได้รบกับซีเรียอีกต่อไป แต่คุณจะต้องรบกับทั้งซีเรีย รัสเซีย และอิหร่านไปด้วยพร้อมกัน” โดนัลด์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ล่าสุด จากสนามกอล์ฟทรัมป์ เนชันแนล ดอรัล
อย่างไรก็ดี ความเชื่อตลอดจนความกังวลของหลายฝ่ายต่อชัยชนะของฮิลลารี คลินตันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เลวร้ายแบบสุดขั้วระหว่างอเมริกากับรัสเซีย ตลอดจน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างหนักหนาสาหัสกว่าเดิมสำหรับสงครามกลางเมืองในซีเรีย ยังถือเป็นเรื่องที่ทุกท่านต้องติดตามดูกันต่อไป ขณะที่ผู้คนทั่วโลกเริ่มหันมาจดจ่อกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกราว 2 สัปดาห์ก่อนที่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ในภาวะที่ฮิลลารี คลินตันถูกยกให้เป็น “เต็งจ๋า” ที่จะคว้าชัยในเส้นทางสู่ทำเนียบขาว