เอเจนซีส์ / MGR online - โฆษกกองทัพซูดานใต้ออกคำแถลงระบุ กองกำลังฝ่ายกบฏที่ภักดีต่ออดีตรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ อยู่เบื้องหลังการโจมตีต่อฝ่ายรัฐบาลตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 50 ราย และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่เป็นทั้งทหารและพลเรือนทั่วไปอีกหลายสิบราย
โฆษกกองทัพซูดานใต้ยังระบุว่า พบการโจมตีของนักรบฝ่ายกบฏต่อพลเรือนบนทางหลวงสายหลักที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับกรุงจูบา เมืองหลวงของประเทศทั้งขาเข้า-ขาออก
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ทางกองทัพซูดานใต้ได้ออกโรงเรียกร้องให้แอฟริกาใต้ปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศของมาชาร์ พร้อมขอให้ประชาคมโลกงัดมาตรการ “ห้ามเดินทาง” มาบังคับใช้กับอดีตรองประธานาธิบดีผู้นี้ จนกว่ามาชาร์จะยุติการสนับสนุนให้เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศ
ความเคลื่อนไหวล่าสุดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่ประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ แห่งซูดานใต้ ออกปรากฏตัวบนขบวนรถซึ่งแล่นผ่านรอบกรุงจูบา เมืองหลวงของประเทศในวันพุธ (12 ต.ค.) สยบข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่บนโลกออนไลน์ที่ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (11 ต.ค.) อาเตนี เว็ค อาเตนี โฆษกประจำทำเนียบประธานาธิบดีซูดานใต้ออกมาแถลงผ่านสถานีวิทยุของรัฐ โดยยืนยันหนักแน่นว่า ประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ มายาร์ดิต ผู้นำซูดานใต้วัย 65 ปี ซึ่งก้าวขึ้นครองอำนาจนับตั้งแต่ที่ประเทศนี้ได้รับเอกราชจากซูดานเมื่อปี 2011 ยังคงมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพแข็งแรงดี
อย่างไรก็ดี คำแถลงของโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีซูดานใต้ดังกล่าวมิอาจสยบกระแสข่าวลือที่แพร่สะพัดมานานนับสัปดาห์บนโลกออนไลน์ที่ว่าผู้นำประเทศอย่างคิอีร์ได้เสียชีวิตแล้ว และนั่นเป็นที่มาของการออกปรากฏตัวบนขบวนรถซึ่งเดินทางรอบกรุงจูบาภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาในวันพุธ (12) ของผู้นำซูดานใต้ที่โบกมือทักทายประชาชนตลอดสองฝั่งถนนอย่างแข็งขัน
ข่าวการปรากฏตัวของประธานาธิบดี ซัลวา คิอีร์ มายาร์ดิต ผู้นำซูดานใต้มีขึ้นในวันเดียวกับที่มีการยืนยันว่าอดีตรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ ที่เป็นผู้นำฝ่ายกบฏได้เดินทางออกจากซูดานแล้ว เพื่อไปรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วยที่ไม่เปิดเผยในประเทศแอฟริกาใต้
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งที่นำไปสู่การฆ่าฟันนองเลือดระลอกใหม่จะเกิดขึ้นในซูดานใต้อีก เพราะสงครามกลางเมืองระลอกที่แล้วเพิ่งปิดฉากไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2015 หลังคู่ขัดแย้งยอมหันหน้าเข้าพูดคุยกันและตกลงจะจับมือกันตั้ง “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ” ในประเทศเอกราชน้องใหม่ของโลกแห่งนี้ที่เพิ่งได้ลิ้มรสอิสรภาพ หลุดพ้นจากการปกครองของซูดานมาได้เพียง 5 ขวบปี ผ่านกระบวนการลงประชามติเมื่อ 9 กรกฎาคม ปี 2011 ที่ผลโหวตของชาวซูดานใต้สูงถึง 98.83 เปอร์เซ็นต์ในเวลานั้น หนุนการแยกตัวเป็นเอกราช
สงครามกลางเมืองระลอกที่แล้วในซูดานใต้ปะทุขึ้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2013 หรือหลังจากที่ซูดานใต้เป็นเอกราชได้เพียง 2 ขวบปี และความขัดแย้งนี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ 26 สิงหาคมในปีที่แล้วต้องแลกมาด้วยยอดผู้เสียชีวิตภายในประเทศ ที่คาดว่าอาจมีจำนวนสูงเกินกว่า 300,000 ราย ยังไม่นับรวมพลเรือนอีกมากกว่า 1,860,000 รายที่ต้องอพยพหนีตายออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตน
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นหน่วยงานแรกที่ออกโรงเตือนถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังสงครามกลางเมืองรอบใหม่ปะทุขึ้นในประเทศนี้ โดยระบุราว 3 ใน 4 ของประชากรซูดานใต้ในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังประเทศของตนถลำกลับเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองรอบใหม่
เอตาแร็ง กูแซ็ง ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (UN’s World Food Program) ออกมาระบุว่า สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นใหม่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับประชากรซูดานใต้ที่อดอยากหิวโหย และมีชีวิตที่ทุกข์ยากเป็นทุนเดิมให้ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ซูดานใต้ ประเทศเอกราชเกิดใหม่แห่งล่าสุดของโลก ถลำกลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกครั้ง หลังทหารฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏเปิดฉากการสู้รบอย่างดุเดือดครั้งใหม่ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา