รัสเซียโวยการกระทำของอเมริกาเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ

รอยเตอร์ - เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย แสดงความเห็นเมื่อวันอาทิตย์ (9 ต.ค.) โดยระบุว่า เขาพบความเป็นปรปักษ์เพิ่มมากขึ้นของอเมริกาที่มีต่อรัสเซีย ทั้งยังบอกด้วยว่าการกระทำที่ก้าวร้าวหลายครั้งของอเมริกานั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซีย

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย ที่ดูเหมือนจะทำให้ความสัมพันธ์ที่แย่อยู่แล้ว กลายเป็นแย่มากขึ้นอีก ลาฟรอฟ ได้ระบุชัดเจนว่า เขาโทษฝ่ายบริหารของโอบามา สำหรับการทำให้สัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศเสื่อมถอย

“เราได้รู้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสถานการณ์ต่างๆ ตอนที่มันมาพร้อมกับท่าทีก้าวร้าวแบบรัสโซโฟเบีย (ความรู้สึกต่อต้านรัสเซีย) ที่ตอนนี้อยู่ในหัวใจของนโยบายสหรัฐฯ ที่มีต่อรัสเซีย” ลาฟรอฟ บอกกับสถานีโทรทัศน์ First Channel

“มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกต่อต้านรัสเซียในเชิงโวหารเท่านั้น แต่มันยังมีขั้นตอนที่ก้าวร้าวซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผลประโยชน์ของประเทศเรา ทั้งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงของเรา”

ด้วยการที่รัสเซียและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดต่อกันตั้งแต่เรื่องซีเรียไปจนถึงเรื่องยูเครน ทำให้ลาฟรอฟสามารถร่ายยาวได้มากมายเกี่ยวกับความคับข้องใจที่รัสเซียมีต่อสหรัฐฯ เขาบอกว่ามันช่วยให้บรรยากาศของความไม่ไว้วางใจต่อกันนั้นยิ่งอันตรายมากขึ้น และไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้มากไปกว่าสงครามเย็น

เขาบ่นว่านาโตเคลื่อนไหวอย่างแน่วแน่ที่จะให้สิ่งปลูกสร้างทางทหารนั้นอยู่ใกล้กับชายแดนรัสเซีย นอกจากนี้เขายังโวยเรื่องที่ชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จากเรื่องวิกฤตในยูเครน

เขายังบอกด้วยว่า ได้ยินว่ามีผู้เสนอนโยบายบางรายในวอชิงตันได้แนะนำให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้มาตรการลงโทษเกี่ยวกับน่านฟ้าที่กองทัพรัฐบาลซีเรียใช้ทำการทิ้งระเบิดปูพรม เพื่อหาทางให้เครื่องบินเหล่านั้นขึ้นบินไม่ได้

“นี่เป็นเกมที่อันตรายมากสำหรับรัสเซีย ที่ได้เข้าไปในซีเรียตามคำเชิญของรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมาย มีฐานทัพ 2 แห่งที่นั่น และมีระบบป้องกันภัยทางอากาศไว้ปกป้องทรัพย์สินที่นั่นด้วย” ลาฟรอฟ กล่าวพร้อมกับหวังว่า โอบามาจะไม่เห็นด้วยที่จะให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น

เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ รัสเซียได้ระงับการใช้สนธิสัญญาที่มีกับสหรัฐฯ ในเรื่องกวาดล้างอาวุธเกรดพลูโตเนียม เพื่อตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นมิตรของสหรัฐฯ

ลาฟรอฟบอกว่า ทั้งสองประเทศมีสิทธิ์ที่จะยกเลิกสนธิสัญญาดังกล่าวในกรณีที่สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

“สนธิสัญญาได้สิ้นสุดลงเมื่อความสัมพันธ์อยู่ในระดับปกติ มีอารยะ ไม่มีใครพยายามจะเข้าไปยุ่งกับกิจการภายในของอีกฝ่าย นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสถานการณ์” ลาฟรอฟกล่าว