ปฏิเสธไม่ได้ว่า นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโรดริโก โรอา ดูเตอร์เต หรือ “ดิก็อง” ในวัย 71 ปี ก้าวขึ้นรับตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์ อย่างเป็นทางการเมื่อ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ดูเหมือนสายสัมพันธ์อันเก่าแก่ระหว่างฟิลิปปินส์กับอดีตประเทศเมืองแม่ และมหาพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาจะถูกสั่นคลอนและทดสอบมิใช่น้อย จากการแสดงโวหารอันก้าวร้าวของดูเตอร์เตนับครั้งไม่ถ้วน ที่ล้วนแต่พุ่งเป้าโจมตีไปยังวอชิงตัน สวนทางกับความสัมพันธ์ ระหว่างฟิลิปปินส์และสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ดูจะกระชับแน่นแฟ้นไม่ต่างจาก “ดอกรักที่กำลังผลิบาน”
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อดีตนายกเทศมนตรีนครดาเวา ซิตี้อย่างดูเตอร์เตในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 16 ของฟิลิปปินส์ และเป็นผู้นำแดนตากาล็อกที่มาจากเกาะมินดาเนาคนแรก (the first Mindanaoan to hold the office) ยังคงเดินหน้าใช้ปากตะไกรของเขาสร้างความร้าวฉานกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ด้วยการประกาศกร้าวในวันพุธ (28 ก.ย.) ว่า เขาจะสั่งยกเลิกการซ้อมรบร่วมประจำปีระหว่างฟิลิปปินส์กับอเมริกาในไม่ช้า
คำพูดที่หลุดจากปากของดูเตอร์เตล่าสุด กลายเป็นการ “สาดน้ำกรด” ครั้งใหม่เข้าใส่ความสัมพันธ์อันง่อนแง่นระหว่างมะนิลาและวอชิงตัน ให้ต้องบอบช้ำหนักขึ้นหลังจากดูเตอร์เตเคยตราหน้า บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯว่าเป็น "ลูกโสเภณี", การระบุผ่านสื่อว่า เอกอัครราชทูตอเมริกันคนปัจจุบันประจำกรุงมะนิลาเป็น “เกย์” หรือแม้แต่ การสั่งให้กองกำลังพิเศษของสหรัฐฯถอนตัวออกจากพื้นที่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ให้หมดสิ้น
ยังไม่นับรวมการตอบโต้ของดูเตอร์เตอย่างเจ็บแสบต่อเสียงวิพากษ์ของสหรัฐฯและโลกตะวันตก ต่อการประกาศเดินหน้าทำ “สงครามยาเสพติด”ภายในประเทศ ที่คร่าชีวิตชาวฟิลิปปินส์ไปแล้วเกือบ 4,000 ศพ นับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
ในการกล่าวปราศรัยล่าสุดของผู้นำฟิลิปปินส์ ณ โรงเแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงฮานอย ระหว่างการเยือนเวียดนามเป็นเวลา 2 วัน ดูเตอร์เตระบุว่า การซ้อมรบร่วมระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในระหว่างวันที่ 4 – 12 ตุลาคมนี้ภายใต้ปฏิบัติการ “Phiblex” จะถูกจัดขึ้นเป็น “ครั้งสุดท้าย” และทำให้เกิดคำถามตามมา เกี่ยวกับอนาคตของปฏิบัติการซ้อมรบร่วมรายปีที่ใหญ่กว่าอย่าง “บาลิกาตัน” ระหว่างทั้งสองประเทศ ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน 2017
ท่าทีล่าสุดของดูเตอร์เตถือว่ากำลังสั่นคลอนความสัมพันธ์ทางกลาโหมระหว่างสหรัฐฯและฟิลิปปินส์มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 รวมถึงการซ้อมรบร่วมประจำปีที่กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของความสัมพันธ์มะนิลา-วอชิงตันมาช้านาน
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างมะนิลากับวอชิงตัน ดูจะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องแต่ในทางกลับกัน สายสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดและสั่นคลอน ระหว่างมะนิลากับปักกิ่ง กลับดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา ไม่ต่างจาก ดอกรักที่กำลังแรกแย้มและผลิบาน
เจ้า เจี้ยนหัว เอกอัครราชทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำกรุงมะนิลา ได้กล่าวที่สถานทูตเมื่อ 27 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า จีนให้การสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดของผู้นำฟิลิปปินส์ ถึงแม้นโยบายนี้จะผลักให้ชาติตะวันตกรวมทั้งรัฐบาลสหรัฐฯและกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ต่างออกโรงประณามเป็นรายวัน
"เมฆหมอกอันดำมืดกำลังจางหายไป ดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นมาจากแนวขอบฟ้า และจะสาดแสงอันงดงามเจิดจ้าให้กับบริบทใหม่ของความสัมพันธ์ ระหว่างฟิลิปปินส์และจีน" เจ้า เจี้ยนหัว เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำกรุงมะนิลา กล่าว พร้อมชื่นชมบรรยากาศความสัมพันธ์มะนิลา-ปักกิ่ง ที่พัฒนาดีวัน-ดีคืนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ดูเตอร์เตก้าวขึ้นครองอำนาจเมื่อ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา
รัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดก่อนหน้านี้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีหัวเสรีอย่างเบนินโญ “นอยนอย” อากิโน ถือเป็นยุคที่ความสัมพันธ์กับจีนเสื่อมถอยลงอย่างมากโดยเฉพาะในประเด็น “ทะเลจีนใต้” ที่รัฐบาลอากิโน เป็นฝ่ายยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2013 เรื่องการอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ของรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งต่อมาศาลฯนี้ได้มีคำตัดสินเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ใดๆ ของจีน เหนือทะเลจีนใต้ที่ถือเป็นน่านน้ำสากลและเป็นสมบัติร่วมกันของนานาชาติ แต่รัฐบาลใหม่ของดูเตอร์เตประกาศจะใช้การทูตเยียวยาข้อพิพาทนี้ระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์
ปรากฏการณ์พลิกขั้วความสัมพันธ์ “จากหน้ามือเป็นหลังเท้า” ที่เกิดขึ้นระหว่างฟิลิปปินส์-สหรัฐฯและระหว่างฟิลิปปินส์กับจีนในยุคของชายที่ชื่อโรดริโก ดูเตอร์เตถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความตระหนกตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศรวมถึงดุลอำนาจทางการเมืองในภูมิภาค และถือเป็น “หนังเรื่องยาว” ที่ยังอยู่ห่างไกลจาก “ตอนอวสาน ”
แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า โวหารและถ้อยแถลงที่ดุเด็ดเผ็ดจี๊ดของดูเตอร์เต ได้กลายเป็นสีสันใหม่ที่สื่อสำนักต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงในอาเซียน ได้มีพื้นที่เล่นข่าวและมีเรื่องให้คอยติดตามเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย