เอเจนซีส์ / MGR online – บริษัทพลังงานชื่อดัง “รอยัล ดัตช์ เชลล์” ประกาศในวันจันทร์ (26 ก.ย.) ปิดท่อส่งน้ำมันในโครงการ Trans Niger Pipeline (TNP) ในไนจีเรีย ที่ใช้ในการส่งออกน้ำมันดิบวันละกว่า 180,000 บาร์เรล หลังเกิดเหตุไฟไหม้ที่คาดว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์
รายงานข่าวระบุว่า ทางผู้บริหารของเชลล์ตัดสินใจ ประกาศมาตรการแก้ปัญหาชั่วคราวด้วยการปิดท่อส่งน้ำมันดังกล่าว หลังพบเหตุเพลิงไหม้ท่อส่ง ส่วนที่พาดผ่านเขตโอโกนีแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตที่พบการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน “ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส”
นี่ถือเป็นครั้งที่สองแล้วในปีนี้ที่ทางบริษัทเชลล์ ต้องประกาศปิดท่อส่งน้ำมันแห่งดังกล่าว หลังจากที่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้เกิดรอยรั่วกับท่อส่งส่วนที่พาดผ่านเขตโอโกนีแลนด์เช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ กลุ่มติดอาวุธ “ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส” ออกโรงในวันเสาร์ (24 ก.ย.) อ้างตัวอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่แหล่งน้ำมันสำคัญในภาคใต้ของไนจีเรียนับตั้งแต่การประกาศหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวของฝ่ายตน ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
กลุ่มติดอาวุธดังกล่าวระบุว่า ได้ลงมือโจมตีแนวท่อส่งออกน้ำมันดิบ “บอนนี” ตั้งแต่เมื่อกลางดึกของคืนวันศุกร์ (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการก่อเหตุรุนแรงครั้งแรกของกลุ่มติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ทางภาคใต้ของไนจีเรียกลุ่มนี้ ที่ก่อนหน้านี้ ได้ประกาศหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวไปเมื่อเดือนสิงหาคม และแสดงจุดยืนว่าพร้อมเจรจาสันติภาพกับฝ่ายรัฐบาลไนจีเรีย
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเสียหายที่แน่ชัด เกี่ยวกับการโจมตีล่าสุดของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว แม้แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานของไนจีเรียจะออกมาเปิดเผยว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นล่าสุดส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อการส่งออกน้ำมันในพื้นที่ ที่ต้องหยุดชะงัก
ก่อนหน้านี้ กลุ่มติดอาวุธ ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส(เอ็นดีเอ)ประกาศเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ผ่านเว็บไซต์ของตัวเองระบุขอหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวกับรัฐบาลกลางไนจีเรีย ระบุ พร้อมให้การสนับสนุนแนวคิดในการร่วมโต๊ะเจรจากับฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ดี คำแถลงผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มติดอาวุธ ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส (เอ็นดีเอ) เมื่อ20 ส.ค.ได้ระบุเงื่อนไขว่านักรบของกลุ่มจะหันไปจับอาวุธอีกครั้ง หากฝ่ายรัฐบาลกลางไนจีเรีย “ไม่ตอบสนอง” ต่อข้อเสนอของฝ่ายตนและยังคงเดินหน้าการจับกุม และการกดขี่รังแกประชาชน ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์
ก่อนหน้านั้นเพียง 2 วัน ทางกลุ่มติดอาวุธนี้ ออกโรงขู่เมื่อ 18 ส.ค. ว่า จะเดินหน้าปลดแอกแยกดินแดนซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ออกจากการปกครองของไนจีเรียในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
คำแถลงของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว ประณามการปกครองของรัฐบาลไนจีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีมูฮัมมาดู บูฮารีว่าเป็นต้นตอสำคัญ ที่ผลักให้เกิดความแตกแยกของประเทศและว่า ประชาชนในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ไม่ต้องการอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ “รัฐที่ล้มเหลว” อย่างไนจีเรียอีกต่อไป
คำแถลงกลุ่มไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์สระบุด้วยว่า การแยกตัวเป็นเอกราชของฝ่ายตนจะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม ปีนี้ ซึ่งก็เป็นวันเดียวกับวันคล้ายวันครบรอบการเป็นเอกราชของไนจีเรีย ที่หลุดพ้นจากการปกครองของ สหราชอาณาจักรเมื่อปี ค.ศ. 1960
ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการประกาศเดินหน้าแยกตัวเป็นเอกราชในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส เปิดฉากโจมตีโรงกลั่นและท่อส่งน้ำมันในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เป็นต้นมา โดยการโจมตีที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหาย แก่อุตสาหกรรมน้ำมันของไนจีเรีย อย่างใหญ่หลวง จนกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศ หดหายไปกว่า 1 ใน 3 จากที่เคยผลิตได้สูงถึงวันละ 2.1 ล้านบาร์เรลเมื่อต้นปี 2016 เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับการลงทุนของบริษัทพลังงานต่างชาติในไนจีเรีย ที่รวมถึงบริษัทพลังงานชื่อดังอย่าง เชลล์, เอ็กซอน, เชฟรอน และเอนิ
ทั้งนี้ รายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันมีสัดส่วนสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมดของรัฐบาลไนจีเรีย ขณะที่กลุ่มติดอาวุธไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส ระบุว่า สาเหตุที่พวกตนต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลไนจีเรียและต้องการแยกตัวเป็นเอกราชนั้นเป็นเพราะไม่พอใจที่ประชาชนในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ไม่ได้รับส่วนแบ่งการพัฒนาที่เท่าเทียมกับพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ของไนจีเรีย ทั้งที่พื้นที่ของตนเป็นแหล่งน้ำมันที่นำรายได้เข้าประเทศมหาศาล