It’s Personal, Apologizing to My Daughter for the Last 15 Years of War
By Peter Van Buren
18/09/2016
ขณะส่งลูกคนสุดท้องของผมออกเดินทางไปเรียนปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยของเธอ สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินก็คือ ผมรู้สึกเสียใจและอยากจะขอโทษเธอมากขนาดไหน สำหรับการที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์ 9 กันยายน 2001 (9/11) ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมจนกระทั่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่ความหวาดกลัวขวัญผวาสูงที่สุดบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ส่งลูกคนสุดท้องของผม ออกเดินทางไปเรียนปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยของเธอ มีพิธีกรรมหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกันสำหรับช่วงเวลาเช่นนี้ แต่เนื่องจากการกล่าวสารภาพบาปของคุณพ่อไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งในนั้น ผมก็เลยเพียงแค่ช่วยถือกล่องถือข้าวของต่างๆ และปิดปากเงียบเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมต้องการที่จะบอกกับเธอจริงๆ นั้น –แทนที่จะเป็นคำกล่าวลาระหว่างพ่อกับลูกทั่วๆ ไป อย่างเช่น อย่าลืมโทรฯมาหาพ่อเสาร์อาทิตย์นี้นะ, โชคดีมีชัยนะ, หนูมีเงินพอใช้หรือเปล่า? – ก็คือ ผมอยากจะบอกกับเธอว่า ผมขอโทษ
เหมือนๆ กับพ่อแม่ผู้ปกครองทุกๆ คนในสถานการณ์แบบนี้ ผมกำลังขบคิดเกี่ยวกับอนาคตของเธอ และก็เหมือนๆ กับทุกๆ คนในอเมริกา ผมคิดต่อไปว่า ในอนาคตดังกล่าวนั้นเธอคงจะไม่สามารถหลบหนีหลีกเร้นจากสิ่งที่เวลานี้โอบล้อมห่อหุ้มโลกเอาไว้ ซึ่งก็คือ “การก่อการร้าย”
ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ต้องระวัง‘การก่อการร้าย’ไว้นะ
สำหรับชาวอเมริกันแล้ว การก่อการร้ายนั้น จัดเป็นอันตรายที่แทบไม่ได้ดำรงคงอยู่เลย คุณมีโอกาสมากกว่าเยอะเลยที่จะถูกฟ้าผ่า [1] ทว่าคุณไม่ได้รู้สึกเกิดความกลัวในเรื่องอย่างนี้หรอก ไม่มีการติดตามรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ฟ้าผ่าทั่วโลกทุก 7 วันในรอบสัปดาห์และวันละตลอด 24 ชั่วโมง แล้วก็ไม่มีป้ายประกาศประเภท “แจ้งความ ถ้าคุณเห็นอะไรน่าสงสัย” (“if you see something, say something”) [2] เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้คุณแจ้งความเรื่องเจอพายุฝนฟ้าคะนอง ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องขอโทษสำหรับเรื่องฟ้าผ่า
แต่สำหรับเรื่องการก่อการร้าย? ผมอยากบอกกับลูกสาวผมจริงๆ ว่าผมรู้สึกเสียใจและอยากจะขอโทษเธอมากขนาดไหน สำหรับการที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซึ่งเหตุการณ์ 9 กันยายน 2001 (9/11) ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมจนกระทั่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่ความหวาดกลัวขวัญผวาสูงที่สุดบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
ต้องการข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อยืนยันหรือครับ? มีชาวอเมริกันราว 40% ทีเดียว [3] ที่เชื่อว่าประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาพอ่อนแออาจถูกโจมตีด้วยการก่อการร้าย ยิ่งกว่าเมื่อช่วงหลังจาก 11 กันยายน 2001 หมาดๆ ด้วยซ้ำ – นับเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดเท่าที่เคยสำรวจกันมาทีเดียว
ต้องการความรู้สึกสั่นสะท้านสะเทือนแบบคำพยากรณ์วาระสุดท้ายของโลกหรือครับ? ผู้บัญชาการทหารบก (Army Chief of Staff) พลเอก มาร์ก มิลลีย์ (General Mark Milley) กล่าว [4] เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ว่า ภัยคุกคามยังคงสาหัสร้ายแรงเฉกเช่นที่ผ่านมา เขาบอกว่า: “คนพวกนั้น, ศัตรูพวกนั้น, สมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายพวกนั้น, พวกเขายังคงมุ่งมั่นตั้งใจ –อย่างที่พวกเขาเคยมุ่งมั่นตั้งใจเมื่อก่อเหตุ 9/11 – ที่จะทำลายเสรีภาพของพวกคุณ, ที่จะฆ่าพวกคุณ, ฆ่าครอบครัวของพวกคุณ, พวกนั้นยังคงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำลายสหรัฐอเมริกา”
ความหวาดกลัวทั้งหมดเหล่านี้ ได้เปลี่ยนให้เรากลายเป็นเครื่องจักรแห่งการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในต่างประเทศ ขณะเดียวกับที่กำลังสูบดูดกลืนกินเสรีภาพของเราภายในประเทศของเราเอง และที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจก็คือ ในช่วงก่อน 9/11 สหรัฐฯเคยเป็นโลกที่แตกต่างออกไป ทว่าผู้คนในรุ่นอายุลูกสาวผมและทุกๆ รุ่นอายุหลังจากเธอไป จะไม่มีวันรู้จักอีกต่อไปแล้ว
วัยเติบโต
ลูกๆ ของผมเติบโตในต่างประเทศ ขณะที่ผมรับราชการอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในช่วงตั้งแต่ปี 1988 จนถึงปี 2012 ช่วงแรกในงานอาชีพของผมคือเป็นนักการทูต ตอนนั้นสงครามยังคงเป็นเรื่องที่ดูมีเหตุมีผลมีขั้นมีตอนของมัน ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ออสเตรียเป็นประเทศเพื่อนบ้านอยู่ติดกับสโลวีเนีย (ซึ่งเป็น 1 ในรัฐที่เคยสังกัดสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย -ผู้แปล) ทว่าแทบไม่มีใครวิตกกันเลยว่าสงครามความขัดแย้งของแหลมบอลข่านในช่วงทศวรรษ 1990 (หนึ่งในประเทศสำคัญของแหลมบอลข่านคือยูโกสลาเวีย และเนื้อหาของสงครามความขัดแย้งในบอลข่านตอนทศวรรษ 1990 ก็คือการล่มสลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ของยูโกสลาเวียนี่เอง –ผู้แปล) จะส่งผลพวงต่อเนื่องข้ามพรมแดนออกมาถึงออสเตรีย ไม่ได้มีเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายคุกคามกรุงเวียนนา (เมืองหลวงของออสเตรีย) แต่อย่างใดเมื่อตอนที่พวกเราไปเยือนในฐานะนักท่องเที่ยวในช่วงปี 1991 เรื่องที่จะเกิดสงครามชนิดซึ่งดึงเอาหลายส่วนใหญ่ๆ ของโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันอีกครั้งนั้น ช่างดูห่างไกลเหลือเกินสำหรับพวกเราที่อยู่ในฐานะผู้พักผ่อนท่องเที่ยวในปีนั้น ช่างดูห่างไกลโพ้นเหมือนมันเป็นโลกพระจันทร์ทีเดียว
กระทั่งสงครามใหญ่ของยุคนั้น ซึ่งก็คือยุทธการ “พายุทะเลทราย” (Desert Storm) ในปี 1991 (สงครามที่สหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. เอช. บุช เป็นผู้นำนานาชาติ เข้าโจมตียังความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับและรวดเร็วให้แก่กองทัพอิรักของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หลังจากที่ซัดดัมรุกเข้าไปยึดครองคูเวตเอาไว้ ดูรายละเอียดได้ที่ Wikipedia ในหัวข้อ Gulf War –ผู้แปล) ก็ยังดูเหมือนอยู่ห่างไกลเอาการ ในตอนนั้นครอบครัวของผมและตัวผมไปรับตำแหน่งอยู่ที่ไต้หวัน และชีวิตที่นั่นยังคงดำเนินไปอย่างง่ายๆ เหมือนปกติ ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างพวกเรากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในคูเวตและอิรัก และแน่นอนทีเดียวเราไม่ได้ต้องรู้สึกวิตกกังวลว่าจะเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตี
ง่ายดายเหลือเกินที่จะลืมเลือนไปว่ามันผ่านไปนานเท่าใดแล้ว พื้นที่จำนวนมากของแหลมบอลข่านเวลานี้ได้พลิกผันกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว และทหารหนุ่มผู้เคยสู้รบในยุทธการพายุทะเลทราย ขณะนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 40 ปีกลางๆ หรืออาจจะคิดกันอย่างนี้ก็ได้ครับ นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะได้เข้าครอบครองห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในเดือนมกราคมปีหน้า เธอหรือเขาก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีอเมริกันต่อเนื่องกันเป็นคนที่ 5 ซึ่งสั่งทิ้งระเบิดใส่ดินแดนอิรัก
ณ ขณะวันที่ 11 กันยายน 2001 เวียนมาถึงนั้น ตอนนั้นผมไปรับตำแหน่งอยู่ที่ญี่ปุ่น และก็เหมือนกับทุกๆ คนนั่นแหละครับ ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกบาดเจ็บชอกช้ำทางจิตใจร่วมหมู่ร่วมประเทศ ผมชมเหตุการณ์สยดสยองนี้ทางทีวี เนื่องจากเขตเวลาที่แตกต่างกัน มันเป็นช่วงกลางคืนดึกแล้วในกรุงโตเกียว ขณะที่เครื่องบินลำที่ 2 พุ่งเข้าชนอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ผมก็ทำแซนด์วิชเตรียมไว้หลายชิ้น และเฝ้าสงสัยว่าเสียงโทรศัพท์คงจะดังขึ้นในไม่ช้า และผมจะถูกเรียกตัวไปประจำที่สถานเอกอัครราชทูตสำหรับการทำงานผลัดยาวนานทีเดียว ผมจำได้ว่าภรรยาผมพูดขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาจะโทรฯมาตามคุณ เราอยู่ที่โตเกียวนะ!” ครั้นแล้ว แน่นอนอยู่แล้ว ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจริงๆ และผมรีบวิ่งไปรับ –ไม่ใช่เพราะความเร่งด่วนด้านความมั่นคงแห่งชาติหรอกครับ แต่เพื่อไม่ให้ลูกๆ ของผมต้องตื่นขึ้นมาน่ะ
วันคล้ายวันเกิดของลูกสาวผม ตรงกับวันที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เริ่มเปิดฉากการรุกรานอิรักเป๊ะเลย ผมเลยพลาดไม่ได้ร่วมเฉลิมฉลองกับเธอในปี 2003 แต่ต้องอยู่ที่ทำงานเพื่อเตรียมการต่างๆ สำหรับทางสถานเอกอัครราชทูต ถ้าหากพวกอัลกออิดะห์เกิดบุกเข้ามา ผมพลาดงานฉลองวันเกิดของเธออีกครั้งในปี 2005 เนื่องจากถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวที่ประเทศไทย โดยต้องคอยช่วยเหลือกองทัพเรือสหรัฐฯในการจัดตั้งฐานสำหรับใช้งานระยะสั้นแห่งหนึ่งขึ้นที่นั่น เมื่อพวกเจ้าหน้าที่กองทัพเรือเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งพวกเขาต้องการใช้ กับนายทหารติดต่อชาวไทยที่ร่วมอยู่ในคณะของเรา นายทหารไทยผู้นี้ก็หัวเราะ มีคนมาเอาไปแล้ว เขากล่าว แต่พวกคุณไม่ได้ยินเรื่องนี้จากผมนะ [5] เรื่องนี้พวกคุณไปสอบถามคนของพวกคุณเองดีกว่า
ในเวลาต่อมา ผมจะได้เรียนรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นคือ สถานที่ดำทมิฬ (black site) แห่งหนึ่งของซีไอเอ ซึ่งประเทศที่ผมเป็นตัวแทนอยู่ตอนนั้น ได้ใช้มันเป็นสถานที่ทำการทรมานมนุษย์
เมื่อหวนมองย้อนหลังกลับไป มันทำให้เกิดความรู้สึกทึ่งจริงๆ นะ เมื่อได้ตระหนักรับรู้ว่า ในการตอบโต้ต่อการก่อการร้ายซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียว วอชิงตันได้จุดไฟเผาทั่วทั้งตะวันออกกลาง, เปลี่ยนให้การเดินทางโดยทางอากาศกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการถูกพันธนาการราวกับว่าเรากลายเป็นทาส และโยนทิ้งส่วนที่ดีเยี่ยมที่สุดแห่งความเป็นประชาธิปไตยของเรา
ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรเลย เมื่อจะใช้รัฐบัญญัติ “แพทริออต แอคต์” (Patriot Act Patriot Act), คุกกวนตานาโม, การส่งตัวนักโทษเดินทางไปถูกสอบปากคำในดินแดนนอกสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายห้ามการทรมานนักโทษ (rendition)[6], การลอบสังหารโดยใช้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน)[7], หรือการที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency) กำลังหันเครื่องมือสอดแนมสืบความลับของตนเข้ามาภายในประเทศ ทำเนียบขาวเก็บงำรายละเอียดอันน่าสะอิดสะเอียนที่สุดจำนวนมากเอาไว้ไม่ให้เรารับรู้ ทว่าไม่ได้เก็บเป็นความลับเลยในเรื่องเจตนารมณ์กว้างๆ ของตน ชาวอเมริกันโดยรวมแล้วให้การสนับสนุนขั้นตอนแต่ละขั้นตอนเป็นอันดี และเวลาต่อมาวอชิงตันก็ทำการปกป้องคุ้มครอง [8] ชายหญิงผู้ลงมือกระทำแต่ละพฤติการณ์โสโครกเหี้ยมโหดเหล่านั้นซึ่งตนเองเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น ชายหญิงเหล่านี้ก็เป็นเพียงผู้กระทำตามคำสั่งเท่านั้น
กฏกติกาที่มีอยู่ในเวลานี้ถึงขนาดอนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถเลือกพลเมืองชาวอเมริกันที่จะถูกสังหารด้วยโดรน โดยที่ไม่ต้องเข้ากระบวนการทางกฎหมายอะไรแม้แต่น้อยนิด [9] ท่านประธานาธิบดีพูดปลอบใจว่าจะกระทำเช่นนี้เมื่ออยู่ในต่างประเทศเท่านั้น ทว่าคุณแทบจะสามารถมองเห็นได้ว่านิ้วมือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของเขานั้นไขว้กันอยู่ ซึ่งแสดงว่ากำลังเจตนาที่จะโกหก แล้วไม่ใช่ว่ามีชาวอเมริกันผู้หวังดีตั้งมากมายอย่างน่าสะพรึงกลัวหรอกหรือที่แสดงความสนับสนุนการใช้โดรนเข้าโจมตีเล่นงานคนร้ายในเหตุกราดยิงเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน (San Bernardino) รัฐแคลิฟอร์เนีย หรือในกรณีกราดยิงที่ไนต์คลับ “พัลส์” (Pulse) ในเมืองออร์แลนโด (Orlando) รัฐฟลอริดา ? ไม่ใช่มีผู้สนับสนุนกันมากมายให้ใช้หุ่นยนต์ในการสังหารผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส ?[10]
หวนกลับสู่มาตุภูมิ
ความหวาดกลัวในรูปแบบต่างๆ หลายหลากของยุคหลัง 9/11 แอบซอกซอนเข้ามาแฝงฝังอยู่ในพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้น ผมใช้เวลา 1 สัปดาห์ของฤดูร้อนปีนี้ไปในการเฝ้าดูข่าวอย่างคลั่งไคล้ เพื่อมองหาสัญญาณแห่งความยุ่งยากใดๆ ก็ตามทีในอียิปต์ ขณะที่ลูกสาวผมเดินทางไปที่นั่นเพื่อเยี่ยมเยียนคนรู้จักมักคุ้นเก่าแก่ในสถานเอกอัครราชทูตที่นั่นบางคน ผมรู้สึกวิตกกังวลว่าเธอกำลังเสี่ยงชีวิตของเธอเองในการไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งในประเทศหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเนืองนองไปด้วยนักท่องเที่ยว
ดังนั้นผมจึงต้องการกล่าวขอโทษต่อลูกสาวผมและเพื่อนๆ ของเธอ สำหรับการที่ทุกๆ ประเทศซึ่งพวกเราชาวอเมริกันท่าทางเก้งก้างเคอะเขินในชุดขาสั้นและรองเท้าแตะ เคยได้รับการปฏิบัติอย่างอดทนอดกลั้นอย่างน้อยที่สุดก็กาลครั้งหนึ่งในอดีต ทว่าในเวลานี้กลับกลายเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพวกเราที่จะไปเยือน ต้องขอโทษสำหรับการที่พวกเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองบาบีโลน (Babylon) หรือ มหามัสยิดแห่งเมืองซามาร์รา (Great Mosque of Samarra) ในอิรัก ยกเว้นแต่ว่าพวกเธอจะเข้าเป็นทหารในกองทัพ
ตอนที่เดินทางกลับมาถึงสหรัฐฯ ลูกสาวผมโทรศัพท์จากสนามบินบอกว่าจะกลับถึงบ้านในเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผมไม่ได้เอ่ยอ้างถึงความวิตกของผมในเรื่องที่เธออาจจะถูกหยุดเอาไว้ที่ “ชายแดน” [11] นามเรียกขานใหม่สำหรับการรอรับกระเป๋าสัมภาระ หรือว่าโทรศัพท์มือถือของเธออาจถูกเจ้าหน้าที่ยึดไว้โทษฐานที่หาญกล้าเดินทางไปตะวันออกกลาง ในทางเป็นจริง ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้หนึ่งสอบถามเธอเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่เธอเดินทางไปที่นั่น อันเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของทางอียิปต์ก็ยังไม่รบกวนเธอด้วยคำถามเช่นนี้
ผมยังต้องการขอโทษลูกสาวผมเพราะว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยการสอดแนมเฝ้าระวังใหม่ๆ ของเรานี้ เธอจะไม่มีวันได้รู้จักจริงๆว่าความเป็นส่วนตัวนั้นเป็นอย่างไร ผมจำเป็นต้องขอให้เธอยกโทษสำหรับการที่เราปล่อยให้เรื่องเช่นนี้บังเกิดขึ้นอย่างง่ายดายเหลือเกิน โดยที่คนจำนวนมากเพียงแค่เดินไปรอบๆ พลางบ่นอุบอิบว่าพวกเขาไม่มีอะไรซุกซ่อนไว้ ดังนั้นจะต้องไปกังวลอะไรนักหนา ผมต้องการที่จะบอกเธอว่าผมเสียใจแค่ไหนที่เวลานี้เธอรู้สึกหวาดกลัวตำรวจ ไม่เพียงแค่สำหรับตัวเธอเองเท่านั้น ทว่าเป็นพิเศษเลยสำหรับเพื่อนที่เป็นคนผิวสีของเธอ ผมต้องการที่จะบอกเธอว่าผมรู้สึกแย่ขนาดไหนที่เธอรู้จักเพียงแค่วิธีบังคับใช้กฎหมายในเวอร์ชั่นแบบเหมือนกับรัฐทหารเหลือเกินเท่านั้น โดยที่ได้พบเห็นเพียงตัวอย่างของเรื่องนี้จากรัฐแห่งนี้ที่เน้นหนักแต่เรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บังคับใช้กฎหมายในรัฐเช่นนี้มองพวกเราทั้งหมดในฐานะผู้ที่อาจกลายเป็นศัตรู และเชื่อว่างานส่วนสำคัญของพวกเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกดขี่ลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของพวกเรา
ผมรู้สึกเสียใจ ผมต้องการพูดกับเธอ ในเรื่องที่พวกผู้ประท้วงถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในอะไรบางอย่างซึ่งเรียกขานกันว่า “พื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี” (free speech zone)[12] และถูกรายล้อมไว้ด้วยตำรวจเดิมๆ เหล่านั้น ผมต้องการบอกกับลูกสาวผมว่า เหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (the Founders) จะต้องผุดลุกขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวแห่งสำนึกในความถูกต้องชอบธรรม ในแนวความคิดที่ตำรวจกำลังบังคับพลเมืองให้เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่นอกสถานที่ประชุมทางการเมือง –รวมทั้งต่อข้อเท็จจริงที่ว่า นักหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ที่สุดไม่ได้มองเห็นว่าพัฒนาการที่เกิดขึ้นนี้ คือข่าวใหญ่ข่าวสำคัญชิ้นหนึ่งในยุคสมัยของพวกเรา
ขณะที่ผมส่งเธอออกเดินทางไปมหาวิทยาลัย ผมต้องการพูดว่าผมเสียใจขนาดไหนที่เราได้สร้างความสับสนอลหม่านให้แก่โลกของเธอ เสียใจที่เราไม่เพียงไม่ได้ยังความพ่ายแพ้ให้แก่พวกผู้ก่อการร้าย ในวิถีทางเดียวกับที่คุณปู่ได้เคยกระทำกับพวกนาซีเท่านั้น แต่ด้วยการปฏิบัติการต่างๆ ของพวกเรา กลับกลายเป็นอุดมการณ์ซึ่งชุบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้และได้บุคคลหน้าใหม่ๆ ที่จะเรียกระดมเข้ามาเป็นสมาชิกของพวกเขาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อัลกออิดะห์ได้วาง “กับดัก” [13] เอาไว้ในเหตุการณ์ 9/11 และเราก็กระโจนพรวดพราดเข้าไปในกับดักดังกล่าว เรือนจำที่พวกผู้ยึดครองชาวอเมริกันจัดตั้งขึ้นที่ค่ายบุคคา (Camp Bucca) ในอิรัก ได้กลายเป็น “โรงงาน” [14] สำหรับการผลิตนักรบญิฮาด สำหรับห้องทรมานนักโทษของคุกอาบูกรออิบ (Abu Ghraib) ก็ยังคงอยู่ เฉกเช่นเดียวกับคุกกวนตานาโม ในรูปของโฆษณาให้ข้อมูลข่าวสารสำหรับการเชื้อเชิญคนอื่นๆ ให้จับอาวุธขึ้นมา
ภาวะธรรมดาสามัญรูปแบบใหม่
ลูกสาวผมไม่ใช่ไร้เดียงสา ก็เหมือนๆ กับเพื่อนร่วมชั้นของเธอเป็นจำนวนมาก เธอมีความตระหนักสำนึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกือบทั้งหมด ทว่าเธอไม่ได้มีอะไรสำหรับการเปรียบเทียบ ปลาสามารถมองเห็นอะไรหรือในน้ำที่อยู่รอบๆ ตัวมัน? แล้วลองจินตนาการดูว่ายิ่งเป็นลูกๆ ในอนาคตของเธอด้วยแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้นไปอีกขนาดไหน ชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเธอถูกหมายเอาไว้ด้วยสงครามที่ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ มันมากมายเสียจนกระทั่งวลีที่ว่า “ยังความปราชัยให้แก่พวกผู้ก่อการร้าย” แทบไม่เป็นวลีที่ทำให้เธอเหลือบตาแล มันกลายเป็นสิ่งประจำรุ่นอายุจนถือเป็นเรื่อง ธรรมดาสามัญ จนเกินไปเสียแล้ว คล้ายๆ กับเด็กๆ ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ยุคเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ 1930 -ผู้แปล) ที่ยังคงเก็บรวบรวมฟอยด์อลูมิเนียมและถุงกระดาษเอาไว้ในห้องใต้ถุน ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจเคลื่อนเข้าสู่ช่วงเจริญรุ่งเรืองมาหลายสิบปีแล้ว
ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่คนรุ่นอายุของเธอจะรับมือกับเรื่องนี้ในลักษณะดีดเด้งไปมา ระหว่างการเยาะเย้ยถากถางแบบหยามโลกเกลียดชังมนุษย์ (cynicism) กับการหยุดพักด้วยความที่ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี การหยุดพักด้วยความที่ไม่รู้จะเชื่ออะไรดีนี้แหละ ในแง่หนึ่งกลายเป็นการเปิดทางให้ผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้คนอายุมากกว่าซึ่งควรที่จะทราบอะไรดีๆ ยิ่งกว่า ยอมรับแนวความคิดที่ว่าการรุกรานอิรักเป็นการตอบโต้อันสมเหตุสมผลต่อการโจมตีอเมริกาของกลุ่มชาวซาอุดีฯกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเงินบริจาค “เพื่อการกุศล” ของชาวซาอุดีฯ [15] ครั้นเมื่อมาถึงตอนนี้ การป่าวร้องกันว่า “มันยังไม่ได้เป็นอาชญากรรมจริงๆ หรอก” (“well, it wasn’t actually a crime”) แทบจะเท่ากับคำขวัญรณรงค์เรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งไม่อาจเป็นอะไรอื่นนอกจากเป็นอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นั้นย่อมเป็นโลกซึ่งอยู่บนเส้นทางของการยอมรับว่า 2+2 สามารถที่จะเท่ากับ 5 ได้จริงๆ – ถ้าหากพวกผู้นำของเราบอกเราว่ามันเป็นเช่นนั้น [16]
เรายินยอมปล่อยให้พวกผู้นำเหล่านี้ออกมาอ้างว่า ทหารอเมริกันจำนวนหลายพันคนซึ่งเวลานี้ประจำอยู่ในอิรักนั้น สามารถที่จะอธิบายได้ว่าไม่ได้เป็น “กำลังภาคพื้นดิน” หรือ “ทหารภาคพื้นดิน” [17] ขณะทีการใช้โดรนไปถล่มโจมตี เราก็ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นการโจมตีอย่างเฉียบคมแม่นยำ [18] เป็นการสังหารเพียงแค่พวกคนเลวๆ โดยใช้ขีปนาวุธสุดวิเศษ และไม่เคยจงใจโจมตีใส่พลเรือน [19], โรงพยาบาล [20], หรืองานแต่งงาน [21] การเสียชีวิตของมนุษย์ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้นและก็เป็นอุบัติเหตุ พอๆ กับพวกรอยขูดรีดบนประตูรถของคุณ จากพวกรถเข็นช็อปปิ้งที่ถูกทิ้งเอาไว้อย่างไม่เป็นที่ไม่เป็นทางในลานจอดรถของศูนย์การค้านั่นแหละ
ช่วยทำความสะอาดต่อจากพ่อด้วยนะ
หากจะมีใครสักคนที่จะซ่อมแซมแก้ไขความปั่นป่วนอลเวงเช่นนี้แล้ว ผมต้องการที่จะบอกลูกสาวผมว่า มันจะต้องเป็นหนูนั่นแหละ และผมก็ต้องการที่จะพูดเสริมว่า หนูต้องทำให้ได้ดีกว่าที่พ่อทำไว้นะ – ถ้าหาก หนูต้องการจริงๆ ที่จะหาทางพูดคำว่าขอบคุณสำหรับการที่พ่อสอนให้เล่นสเก็ต, เจ้าลูกหมาตัวนั้น, และคืนนั้นที่พ่อไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองใส่เมื่อหนูละเมิดช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพื่อให้ได้ใช้เวลากับเด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่มมากขึ้น
หลังจากลากดึงเอากล่องกระดาษแข็งกล่องสุดท้ายขึ้นบันไดไปเก็บแล้ว ผมยังคงพยายามกลั้นน้ำตาไว้จวบจนกระทั่งถึงตอนท้ายมากๆ ตอนที่สวมกอดลูกสาวผมในชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าผมไม่ได้กำลังอยู่ตรงที่ผมยืน หากแต่อยู่ในที่อื่นๆ อีกเป็นร้อยๆ แห่ง ผมไม่ได้กำลังปลอบขวัญผู้หญิงวัยยี่สิบเศษๆ ผู้เฉลียวฉลาด ภาคภูมิใจในตนเอง และกำลังประหวั่นพรั่นพรึงกับเรื่องที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเป็นปีสุดท้ายแล้ว หากแต่เป็นนักเรียนหญิงชั้นประถมที่กำลังจะเข้านอนในคืนที่จะเป็นที่จดจำไปตลอดกาลในฉายานามสั้นๆ ว่า 9/11
หลังจากส่งลูกสาวและกลับมาถึงบ้านอีกครั้ง บ้านที่ว่างเปล่าและเงียบเชียบ ข้างนอก ใบไม้ต่างๆเพิ่งมีร่องรอยของสีเหลืองอ่อน ถึงเวลาอาหารกลางวัน ผมมีผลสตรอว์เบอร์รีท้ายฤดูรสชาติเกือบๆ หวานจำนวนหนึ่ง ซึ่งเพียงพอสำหรับยืนยันการมีอยู่ของพลังอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป ผมจะต้องอาลัยฤดูร้อนของปีนี้อย่างแน่นอน
ผมทราบดีว่าผมไม่ได้เป็นพ่อแม่คนแรกหรอกที่เกิดความรู้สึกนึกคิดพาดพิงสะท้อนไปถึงเรื่องต่างๆ ขณะเฝ้ามองลูกคนสุดท้ายของเขาก้าวออกไปจากประตูบ้าน เพียงแต่ว่าผมมีความรู้สึกสำนึกเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังจะต้องก้าวเข้าไปเผชิญ นั่นคือ โลกของอเมริกันที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวซึ่งเกิดผิดที่ผิดทาง ความหวาดกลัวคือสิ่งเลวร้ายสยดสยองซึ่งสมควรที่จะรู้สึกเสียใจเมื่อนึกถึง และนั่นในตัวมันเองก็สมควรที่จะทำให้เกิดความหวาดผวาขึ้นมาแล้ว
หมายเหตุ
[1] http://www.globalresearch.ca/the-terrorism-statistics-every-american-needs-to-hear/5382818
[2] https://www.dhs.gov/see-something-say-something
[3] http://www.people-press.org/2016/09/07/15-years-after-911-a-sharp-partisan-divide-on-ability-of-terrorists-to-strike-u-s/?utm_source=adaptivemailer&utm_medium=email&utm_campaign=16-09-07%209/11&org=982&lvl=100&ite=254&lea=32754&ctr=0&par=1&trk=
[4] https://www.airforcetimes.com/articles/terrorist-threat-hasnt-abated-15-years-after-9-11-top-army-general-ays?utm_source=Sailthru&utm_medium=email&utm_campaign=Military%20EBB%209-12-16&utm_term=Editorial%20-%20Military%20-%20Early%20Bird%20Brief
[5] http://www.npr.org/sections/thetwo-way/2014/12/19/371865080/thailand-says-it-was-unaware-of-cia-black-site-on-its-soil
[6] https://www.therenditionproject.org.uk/
[7] http://www.tomdispatch.com/blog/175872/tomgram%3A_peter_van_buren,_undue_process_in_washington/
[8] https://www.theguardian.com/us-news/2016/sep/09/dan-jones-cia-torture-cover-report-senate
[9] http://www.tomdispatch.com/post/175807/tomgram%3A_peter_van_buren,_the_divine_right_of_president_obama/
[10] http://wemeantwell.com/blog/2016/07/09/the-dallas-police-used-a-drone-for-the-first-time-to-kill-someone-in-america/
[11] http://www.tomdispatch.com/post/175861/tomgram%3A_peter_van_buren,_what_we've_lost_since_9_11_(part_2)/
[12] http://www.cleveland.com/rnc-2016/index.ssf/2016/06/aclu_sues_cleveland_over_repub.html
[13] http://www.tomdispatch.com/post/176183/tomgram%3A_engelhardt%2C_a_9_11_retrospective%3A_washington%27s_15-year_air_war/
[14] http://www.vox.com/2014/12/11/7377165/isis-us-prison
[15] https://28pages.org/2016/07/20/selected-revelations-from-the-declassified-28-pages-on-911/
[16] https://ca.answers.yahoo.com/question/index?qid=20091115100113AAnlO4y
[17] https://www.armytimes.com/story/military/2016/07/11/iraq-us-troops-deploy/86938318/
[18] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2012/09/calling-us-drone-strikes-surgical-is-orwellian-propaganda/262920/
[19] https://www.thebureauinvestigates.com/category/projects/drones/drones-graphs/
[20] http://wemeantwell.com/blog/2015/10/22/americas-civilian-killings-are-no-accident/
[21] http://www.tomdispatch.com/blog/175787/tomgram:_engelhardt,_washingtons_wedding_album_from_hell/print
(ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ TomDispatch)
ปีเตอร์ แวน บูเรน เป็น “ผู้เป่านกหวีด” เปิดโปงความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่ายและการบริหารอันผิดพลาดของกระทรวงการต่าง ประเทศสหรัฐฯในระหว่าง “การฟื้นฟูบูรณะ” อิรัก เอาไว้ในหนังสือของเขาที่ใช้ชื่อเรื่องว่า We Meant Well: How I Helped Lose the Battle for the Hearts and Minds of the Iraqi People. เขาเป็นนักเขียนประจำให้แก่ TomDispatch ตลอดจนเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันให้แก่ We Meant Well หนังสือเล่มท้ายสุดของเขาคือเรื่อง Ghosts of Tom Joad: A Story of the #99Percent. ส่วนผลงานชิ้นต่อไปของเขาจะเป็นเรื่อง Hooper's War นวนิยายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองในญี่ปุ่น
หมายเหตุผู้แปล
ทอม เองเกลฮาร์ดต์ (Tom Engelhardt) นักเขียนและบรรณาธิการชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งออนไลน์บล็อก “tomdispatch.com” จะเขียนอารัมภบท (ที่เขาเรียกว่า Tomgram) ให้แก่ข้อเขียนซึ่งเขาเลือกสรรนำมาเผยแพร่ใน TomDispatch สำหรับข้อเขียนเรื่อง It’s Personal, Apologizing to My Daughter for the Last 15 Years of War (คำขอโทษถึงลูกสาวของผม สำหรับ ‘สงครามของอเมริกา’ ช่วง 15 ปีภายหลัง 9/11) ของ ปีเตอร์ แวน บูเรน ชิ้นนี้ก็เช่นกัน เองเกลฮาร์ดต์ได้เขียน Tomgram ใช้ชื่อว่า Peter Van Buren, Class of 2017 -- So Sorry! (ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ!) ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมบางแง่บางมุมอย่างน่าสนใจ จากข้อเขียนของ แวน บูเรน เอง จึงขอเก็บความนำมาเสนอเอาไว้ในที่นี้:
ทอมแกรม: ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ!
มาเริ่มต้นกันด้วยสิ่งทีเป็นพื้นฐานกันก่อน ในยุคสมัยตอนที่สหรัฐฯดูเหมือนกับไม่มีมหาอำนาจยิ่งใหญ่รายอื่นๆ เป็นคู่แข่งเอาเลยนั้น รัฐความมั่นคงแห่งชาติ (national security state) ของสหรัฐฯได้ขยายตัวออกไปด้วยสัดส่วนอันใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน [1] แถมยังได้รับมอบหมาย “สิทธิ” ที่จะปฏิบัติการต่างๆ ตั้งแต่ การลักพาตัว [2] ไปจนถึงการทรมานนักโทษ [3], การสอดแนมสืบความลับพลเมืองของตนเอง ไปจนถึงการลอบสังหาร [4] โดยที่อิงอาศัยเหตุการณ์อันสยดสยองต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายในเวลาเพียงวันเดียว [5] ตลอดจนอิงอาศัยภัยอันตรายที่เกิดขึ้นมาเพียงประการเดียว นั่นคือการเข่นฆ่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน และการคุกคามของการก่อการร้าย ในช่วงปีเหล่านี้ ก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเริ่มต้นก่อกวนสร้างความปั่นป่วนเพื่อความสนุกสนานของตนเองด้วยซ้ำไปนั้น ชาวอเมริกันก็ได้ถูกป้อนให้บริโภคความหวาดกลัวภัยอันตรายชนิดหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกาเองนั้น ควรต้องถือว่าเป็นภัยอันตรายเล็กๆ เท่านั้น อย่างไรก็ดี จากกระบวนการดังกล่าวนี้เอง กล่าวในทางเนื้อหาสาระแล้ว เราก็กำลังก่อการร้ายสร้างความสยดสยองให้แก่ตัวพวกเราเองจนกระทั่งเข้าไปสู่โลกแห่งใหม่
ถ้าหากคุณต้องการวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่แท้จริงชนิดต่างๆ ในชีวิตชาวอเมริกันแล้ว ควรต้องเริ่มต้นจากเรื่องยานพาหนะ ไม่ใช่เรื่องผู้ก่อการร้าย อันที่จริงแล้วถ้าคุณฉลาดหลักแหลมและต้องการหลีกหนีภัยอันตรายแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจขบคิดกับเรื่องการก่อการร้ายอิสลามิสต์หรอก แต่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงท้องถนนเข้าไว้ เพราะในปี 2015 สหรัฐฯประสบพบเห็นกรณีการตายด้วยยานพาหนะ เพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดในรอบระยะเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาทีเดียว [6] นั่นคือมีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมแล้วกว่า 38,000 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 4.4 ล้านคน ครั้นมาถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2016 นี้ ตัวเลขเหล่านี้ได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก 9%[7] โดยที่ยังมองไม่เห็นเลยว่าการเข่นฆ่ากันอย่างนองเลือดเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ไม่เหมือนกับสงครามต่อสู้การก่อการร้ายของเรา (ตลอดจนการสู้รบขัดแย้งกันใน 7 สมรภูมิ [8] ที่เวลานี้ดำเนินไปพร้อมๆ กับสงครามสู้การก่อการร้ายนี้) ไม่มีใครเลยที่ทำท่าจะใช้จ่ายเงินเป็นหลักล้านล้านดอลลาร์ [9] เพื่อจัดการกับการเสียชีวิตประเภทซึ่งเกิดจากยานพาหนะ ถึงแม้สาเหตุของการตายเช่นนี้ในแต่ละปีจะมีจำนวนคิดเป็นกว่า 12 เท่าตัวของการเสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 หรือหากต้องการพิจารณากันในขอบเขตที่เล็กลงมาสักหน่อย ก็ลองดูที่การเสียชีวิตของคนอเมริกันจากการตกลงมาจากเตียงนอนของพวกเขาเอง [10], จากการถูกรถตัดหญ้าชน, ตลอดจนจากการถูกเด็กที่ถือปืนยิงเอา [11] ในระยะปีหลังๆ มานี้ อันตรายเหล่านี้แต่ละประเภทล้วนแต่ก่อให้เกิดการตายในสหรัฐฯเป็นจำนวนเท่ากันหรือมากกว่าการเสียชีวิตจากผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ (หรือจากบุคคลป่วยด้วยโรคจิตโรคประสาท ซึ่งมักคิดว่าตนเองเป็นพวกนั้น [12]) ทว่าไม่เห็นมีใครเลยกำลังทำการลงทุนในกลไกรัฐเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ ขณะเดียวกัน ประเทศชาติก็ไม่ได้ชักดิ้นชักงอด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับฆาตกรที่เป็นรถตัดหญ้าหรือเป็นเด็กน้อยที่ถืออาวุธ ถึงแม้ความหวาดกลัวที่จะตกเป็นเป้าหมายของพวกผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ ยังคงเพิ่มทวีขึ้นไปเรื่อยๆ [13] (โดยเฉพาะในหมู่ชาวพรรครีพับลิกัน)
มาถึงปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตซึ่งสร้างขึ้นมาและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากความหวาดกลัวหนึ่งเดียวนี้ ก็ได้ดัดแปลงพลิกโฉมรัฐความมั่นคงแห่งชาติของเรา ให้กลายเป็นอำนาจแขนงที่ 4 ของรัฐบาลอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว [14] ผมใคร่ขอเพิ่มเติมพัฒนาการใหม่ๆ อีกอย่างหนึ่งเอาไว้ตรงนี้ด้วย กล่าวคือ ภูมิทัศน์ใหม่ทางด้านสื่อมวลชนก็ได้ถูกสร้างขึ้นมา จากช่วงขณะของการก่อการร้ายในโลกของเราเช่นเดียวกัน ในปีนี้ซึ่งในสื่อมวลชนเต็มไปด้วยวงจรข่าวเกี่ยวกับ โดนัลด์ ทรัมป์ วนเวียนกันไปเรื่อยราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้น สิ่งเดียวเท่านั้นซึ่งรับประกันได้ว่าสามารถที่จะตัดขาดวงจรข่าวนี้ได้ และเข้าแทนที่ผูกขาดความสนใจบนหน้าจอของพวกเราได้ ก็คือข่าวการสังหารผู้คนอย่างฉับพลันโดยฝีมือของใครบางคนซึ่งประกาศอ้างความจงรักภักดีต่อไอเอส หรือได้รับแรงบันดาลใจจากไอเอส ในทางปฏิบัติแล้วคุณสามารถท่องจำชื่อของสถานที่ต่างๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ทีเดียว เป็นต้นว่า ซานเบอร์นาร์ดิโน, ออร์แลนโด, ปารีส, บรัสเซลส์, นีซ –ซึ่งก็คือเราสามารถจดจำได้ว่าผู้คนที่เราถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับเรานั้นได้ประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนกันบ้าง (ทว่าคงแทบไม่มีใครสามารถท่องจำสถานที่อย่าง คาบูล [15], เอเดน [16], แบกแดด [17], อิสคันดาริยา [18], หรือ อิสตันบูล [19], ตลอดจนสถานที่อื่นๆ [20] ทั้งๆ ที่สถานที่เหล่านี้ก็มีเหตุการณ์ก่อการร้ายระดับรุนแรงเช่นเดียวกัน) เหตุการณ์แบบนี้ ถ้าหากเกิดขึ้นกับคนที่ใช่ ก็จะสามารถผูกขาดเวลาออกหน้าจอได้เป็นวันๆ หรือกระทั่งเป็นอาทิตย์ๆ ทีเดียว ระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้นเองก็ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงอันตรายอย่างเกินเลย ชนิดไม่ได้สัดส่วนกับระดับภัยคุกคามที่มีต่อชีวิตของเราจริงๆ
สิบห้าปีภายหลัง 9/11 นี่คือวิถีชีวิตแบบอเมริกันของพวกเราโดยแท้ ปัจจุบันนี้จากการที่รัสเซียและจีนกำลังถูกยกระดับ หรือกำลังเดินหน้า [21] เข้าสู่ “สถานะความเป็นศัตรู” [22] ในสายตาของวอชิงตัน ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ ก็ยังคงกำลังกระจายตัวออกไปทั่วทั้งมหาภูมิภาคตะวันออกกลาง (Greater Middle East) คุณย่อมสามารถคาดหมายได้ว่า ความหวาดกลัวประเภทเดียวกันกับที่กำลังถูกปลดประจำการอยู่แล้ว [23] จะต้องเพิ่มทวีขึ้นต่อไปอีกในช่วงเวลาหลายๆ ปีข้างหน้า นี่ควรต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวอเมริกันรู้สึกอับอายขายหน้า ทว่าโดยทั่วไปแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงมีความเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษ (หรือบางทีผมต้องการหมายถึง มีอารมณ์ความรู้สึกร่วม [24]) ต่อการที่ ปีเตอร์ แวน บูเรน อดีต “นักเป่านกหวีด” เตือนภัยให้ผู้คนสนใจความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และนักเขียนประจำคนหนึ่งของ TomDispatch [25] ออกมารบเร้าที่จะแสดงความเสียใจต่อลูกของเขา สำหรับโลกที่เขากำลังส่งมอบให้แก่เธอ
หมายเหตุ
(เชิงอรรถสำหรับเรื่อง ทอมแกรม: ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ! )
[1] http://projects.washingtonpost.com/top-secret-america/articles/a-hidden-world-growing-beyond-control/ http://projects.washingtonpost.com/top-secret-america/articles/a-hidden-world-growing-beyond-control/
[2] http://www.tomdispatch.com/post/7789/engelhardt_
[3] http://www.tomdispatch.com/blog/176132/tomgram%3A_rebecca_gordon,_exhibit_one_in_any_future_american_war_crimes_trial
[4] http://www.tomdispatch.com/post/175551/tomgram%3A_engelhardt,_assassin-in-chief/
[5] http://www.tomdispatch.com/blog/176183/tomgram%3A_engelhardt%2C_a_9_11_retrospective%3A_washington%27s_15-year_air_war/
[6] http://www.npr.org/sections/thetwo-way/2016/02/18/467230965/2015-traffic-fatalities-rose-by-largest-percent-in-50-years-safety-group-says
[7] http://time.com/4462955/traffic-deaths-rising-2016/
[8] http://www.salon.com/2016/08/02/its_2011_all_over_again_the_u_s_renews_bombing_of_libya_the_7th_muslim_majority_country_with_ongoing_american_air_strikes/
[9] http://watson.brown.edu/costsofwar/files/cow/imce/papers/2016/Costs%20of%20War%20through%202016%20FINAL%20final%20v2.pdf
[10] http://www.huffingtonpost.com/todd-r-miller/the-freakonomics-of-extre_b_11821634.html
[11] http://www.tomdispatch.com/post/176013/tomgram%3A_engelhardt,_armed_violence_in_the_homeland/
[12] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2016/09/american-terrorism-fears-september-11/499004/
[13] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2016/09/american-terrorism-fears-september-11/499004/
[14] https://www.amazon.com/dp/1608463656/ref=nosim/?tag=tomdispatch-20
[15] http://www.cnn.com/2016/04/19/asia/kabul-explosion/
[16] https://www.theguardian.com/world/2016/aug/29/yemen-suicide-bombing-aden
[17] http://www.aljazeera.com/news/2016/07/iraq-suicide-attack-kills-21-baghdad-160725071250895.html
[18] http://www.aljazeera.com/news/2016/03/suicide-attack-kills-dozens-football-stadium-iraq-160325181900028.html
[19] http://www.bbc.com/news/world-europe-36658187
[20] http://www.aljazeera.com/news/2016/08/injured-blast-hits-wedding-hall-gaziantep-160820204150494.html
[21] http://www.voanews.com/a/joint-chiefs-nominee-russia-china-biggest-threats-to-us/2855283.html
[22] http://thehill.com/policy/defense/250962-odierno-russia-is-the-most-dangerous-threat-to-us
[23] http://www.tomdispatch.com/post/176062/tomgram%3A_engelhardt,_campaign_2016_as_a_demobilizing_spectacle/
[24] http://www.tomdispatch.com/blog/175986/
[25] http://www.tomdispatch.com/post/176140/tomgram%3A_peter_van_buren,_the_snapchat_version_of_american_victory/
By Peter Van Buren
18/09/2016
ขณะส่งลูกคนสุดท้องของผมออกเดินทางไปเรียนปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยของเธอ สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับเธอเหลือเกินก็คือ ผมรู้สึกเสียใจและอยากจะขอโทษเธอมากขนาดไหน สำหรับการที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์ 9 กันยายน 2001 (9/11) ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมจนกระทั่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่ความหวาดกลัวขวัญผวาสูงที่สุดบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ส่งลูกคนสุดท้องของผม ออกเดินทางไปเรียนปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยของเธอ มีพิธีกรรมหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกันสำหรับช่วงเวลาเช่นนี้ แต่เนื่องจากการกล่าวสารภาพบาปของคุณพ่อไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งในนั้น ผมก็เลยเพียงแค่ช่วยถือกล่องถือข้าวของต่างๆ และปิดปากเงียบเอาไว้ แต่สิ่งที่ผมต้องการที่จะบอกกับเธอจริงๆ นั้น –แทนที่จะเป็นคำกล่าวลาระหว่างพ่อกับลูกทั่วๆ ไป อย่างเช่น อย่าลืมโทรฯมาหาพ่อเสาร์อาทิตย์นี้นะ, โชคดีมีชัยนะ, หนูมีเงินพอใช้หรือเปล่า? – ก็คือ ผมอยากจะบอกกับเธอว่า ผมขอโทษ
เหมือนๆ กับพ่อแม่ผู้ปกครองทุกๆ คนในสถานการณ์แบบนี้ ผมกำลังขบคิดเกี่ยวกับอนาคตของเธอ และก็เหมือนๆ กับทุกๆ คนในอเมริกา ผมคิดต่อไปว่า ในอนาคตดังกล่าวนั้นเธอคงจะไม่สามารถหลบหนีหลีกเร้นจากสิ่งที่เวลานี้โอบล้อมห่อหุ้มโลกเอาไว้ ซึ่งก็คือ “การก่อการร้าย”
ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ต้องระวัง‘การก่อการร้าย’ไว้นะ
สำหรับชาวอเมริกันแล้ว การก่อการร้ายนั้น จัดเป็นอันตรายที่แทบไม่ได้ดำรงคงอยู่เลย คุณมีโอกาสมากกว่าเยอะเลยที่จะถูกฟ้าผ่า [1] ทว่าคุณไม่ได้รู้สึกเกิดความกลัวในเรื่องอย่างนี้หรอก ไม่มีการติดตามรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ฟ้าผ่าทั่วโลกทุก 7 วันในรอบสัปดาห์และวันละตลอด 24 ชั่วโมง แล้วก็ไม่มีป้ายประกาศประเภท “แจ้งความ ถ้าคุณเห็นอะไรน่าสงสัย” (“if you see something, say something”) [2] เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้คุณแจ้งความเรื่องเจอพายุฝนฟ้าคะนอง ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องขอโทษสำหรับเรื่องฟ้าผ่า
แต่สำหรับเรื่องการก่อการร้าย? ผมอยากบอกกับลูกสาวผมจริงๆ ว่าผมรู้สึกเสียใจและอยากจะขอโทษเธอมากขนาดไหน สำหรับการที่เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซึ่งเหตุการณ์ 9 กันยายน 2001 (9/11) ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมจนกระทั่งกลายเป็นประเทศที่มีแต่ความหวาดกลัวขวัญผวาสูงที่สุดบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
ต้องการข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อยืนยันหรือครับ? มีชาวอเมริกันราว 40% ทีเดียว [3] ที่เชื่อว่าประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาพอ่อนแออาจถูกโจมตีด้วยการก่อการร้าย ยิ่งกว่าเมื่อช่วงหลังจาก 11 กันยายน 2001 หมาดๆ ด้วยซ้ำ – นับเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดเท่าที่เคยสำรวจกันมาทีเดียว
ต้องการความรู้สึกสั่นสะท้านสะเทือนแบบคำพยากรณ์วาระสุดท้ายของโลกหรือครับ? ผู้บัญชาการทหารบก (Army Chief of Staff) พลเอก มาร์ก มิลลีย์ (General Mark Milley) กล่าว [4] เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ว่า ภัยคุกคามยังคงสาหัสร้ายแรงเฉกเช่นที่ผ่านมา เขาบอกว่า: “คนพวกนั้น, ศัตรูพวกนั้น, สมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายพวกนั้น, พวกเขายังคงมุ่งมั่นตั้งใจ –อย่างที่พวกเขาเคยมุ่งมั่นตั้งใจเมื่อก่อเหตุ 9/11 – ที่จะทำลายเสรีภาพของพวกคุณ, ที่จะฆ่าพวกคุณ, ฆ่าครอบครัวของพวกคุณ, พวกนั้นยังคงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำลายสหรัฐอเมริกา”
ความหวาดกลัวทั้งหมดเหล่านี้ ได้เปลี่ยนให้เรากลายเป็นเครื่องจักรแห่งการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในต่างประเทศ ขณะเดียวกับที่กำลังสูบดูดกลืนกินเสรีภาพของเราภายในประเทศของเราเอง และที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจก็คือ ในช่วงก่อน 9/11 สหรัฐฯเคยเป็นโลกที่แตกต่างออกไป ทว่าผู้คนในรุ่นอายุลูกสาวผมและทุกๆ รุ่นอายุหลังจากเธอไป จะไม่มีวันรู้จักอีกต่อไปแล้ว
วัยเติบโต
ลูกๆ ของผมเติบโตในต่างประเทศ ขณะที่ผมรับราชการอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในช่วงตั้งแต่ปี 1988 จนถึงปี 2012 ช่วงแรกในงานอาชีพของผมคือเป็นนักการทูต ตอนนั้นสงครามยังคงเป็นเรื่องที่ดูมีเหตุมีผลมีขั้นมีตอนของมัน ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ออสเตรียเป็นประเทศเพื่อนบ้านอยู่ติดกับสโลวีเนีย (ซึ่งเป็น 1 ในรัฐที่เคยสังกัดสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย -ผู้แปล) ทว่าแทบไม่มีใครวิตกกันเลยว่าสงครามความขัดแย้งของแหลมบอลข่านในช่วงทศวรรษ 1990 (หนึ่งในประเทศสำคัญของแหลมบอลข่านคือยูโกสลาเวีย และเนื้อหาของสงครามความขัดแย้งในบอลข่านตอนทศวรรษ 1990 ก็คือการล่มสลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ของยูโกสลาเวียนี่เอง –ผู้แปล) จะส่งผลพวงต่อเนื่องข้ามพรมแดนออกมาถึงออสเตรีย ไม่ได้มีเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายคุกคามกรุงเวียนนา (เมืองหลวงของออสเตรีย) แต่อย่างใดเมื่อตอนที่พวกเราไปเยือนในฐานะนักท่องเที่ยวในช่วงปี 1991 เรื่องที่จะเกิดสงครามชนิดซึ่งดึงเอาหลายส่วนใหญ่ๆ ของโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันอีกครั้งนั้น ช่างดูห่างไกลเหลือเกินสำหรับพวกเราที่อยู่ในฐานะผู้พักผ่อนท่องเที่ยวในปีนั้น ช่างดูห่างไกลโพ้นเหมือนมันเป็นโลกพระจันทร์ทีเดียว
กระทั่งสงครามใหญ่ของยุคนั้น ซึ่งก็คือยุทธการ “พายุทะเลทราย” (Desert Storm) ในปี 1991 (สงครามที่สหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. เอช. บุช เป็นผู้นำนานาชาติ เข้าโจมตียังความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับและรวดเร็วให้แก่กองทัพอิรักของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หลังจากที่ซัดดัมรุกเข้าไปยึดครองคูเวตเอาไว้ ดูรายละเอียดได้ที่ Wikipedia ในหัวข้อ Gulf War –ผู้แปล) ก็ยังดูเหมือนอยู่ห่างไกลเอาการ ในตอนนั้นครอบครัวของผมและตัวผมไปรับตำแหน่งอยู่ที่ไต้หวัน และชีวิตที่นั่นยังคงดำเนินไปอย่างง่ายๆ เหมือนปกติ ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างพวกเรากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในคูเวตและอิรัก และแน่นอนทีเดียวเราไม่ได้ต้องรู้สึกวิตกกังวลว่าจะเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตี
ง่ายดายเหลือเกินที่จะลืมเลือนไปว่ามันผ่านไปนานเท่าใดแล้ว พื้นที่จำนวนมากของแหลมบอลข่านเวลานี้ได้พลิกผันกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว และทหารหนุ่มผู้เคยสู้รบในยุทธการพายุทะเลทราย ขณะนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 40 ปีกลางๆ หรืออาจจะคิดกันอย่างนี้ก็ได้ครับ นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะได้เข้าครอบครองห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในเดือนมกราคมปีหน้า เธอหรือเขาก็จะกลายเป็นประธานาธิบดีอเมริกันต่อเนื่องกันเป็นคนที่ 5 ซึ่งสั่งทิ้งระเบิดใส่ดินแดนอิรัก
ณ ขณะวันที่ 11 กันยายน 2001 เวียนมาถึงนั้น ตอนนั้นผมไปรับตำแหน่งอยู่ที่ญี่ปุ่น และก็เหมือนกับทุกๆ คนนั่นแหละครับ ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกบาดเจ็บชอกช้ำทางจิตใจร่วมหมู่ร่วมประเทศ ผมชมเหตุการณ์สยดสยองนี้ทางทีวี เนื่องจากเขตเวลาที่แตกต่างกัน มันเป็นช่วงกลางคืนดึกแล้วในกรุงโตเกียว ขณะที่เครื่องบินลำที่ 2 พุ่งเข้าชนอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ผมก็ทำแซนด์วิชเตรียมไว้หลายชิ้น และเฝ้าสงสัยว่าเสียงโทรศัพท์คงจะดังขึ้นในไม่ช้า และผมจะถูกเรียกตัวไปประจำที่สถานเอกอัครราชทูตสำหรับการทำงานผลัดยาวนานทีเดียว ผมจำได้ว่าภรรยาผมพูดขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาจะโทรฯมาตามคุณ เราอยู่ที่โตเกียวนะ!” ครั้นแล้ว แน่นอนอยู่แล้ว ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจริงๆ และผมรีบวิ่งไปรับ –ไม่ใช่เพราะความเร่งด่วนด้านความมั่นคงแห่งชาติหรอกครับ แต่เพื่อไม่ให้ลูกๆ ของผมต้องตื่นขึ้นมาน่ะ
วันคล้ายวันเกิดของลูกสาวผม ตรงกับวันที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เริ่มเปิดฉากการรุกรานอิรักเป๊ะเลย ผมเลยพลาดไม่ได้ร่วมเฉลิมฉลองกับเธอในปี 2003 แต่ต้องอยู่ที่ทำงานเพื่อเตรียมการต่างๆ สำหรับทางสถานเอกอัครราชทูต ถ้าหากพวกอัลกออิดะห์เกิดบุกเข้ามา ผมพลาดงานฉลองวันเกิดของเธออีกครั้งในปี 2005 เนื่องจากถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวที่ประเทศไทย โดยต้องคอยช่วยเหลือกองทัพเรือสหรัฐฯในการจัดตั้งฐานสำหรับใช้งานระยะสั้นแห่งหนึ่งขึ้นที่นั่น เมื่อพวกเจ้าหน้าที่กองทัพเรือเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งพวกเขาต้องการใช้ กับนายทหารติดต่อชาวไทยที่ร่วมอยู่ในคณะของเรา นายทหารไทยผู้นี้ก็หัวเราะ มีคนมาเอาไปแล้ว เขากล่าว แต่พวกคุณไม่ได้ยินเรื่องนี้จากผมนะ [5] เรื่องนี้พวกคุณไปสอบถามคนของพวกคุณเองดีกว่า
ในเวลาต่อมา ผมจะได้เรียนรู้ว่าสถานที่แห่งนั้นคือ สถานที่ดำทมิฬ (black site) แห่งหนึ่งของซีไอเอ ซึ่งประเทศที่ผมเป็นตัวแทนอยู่ตอนนั้น ได้ใช้มันเป็นสถานที่ทำการทรมานมนุษย์
เมื่อหวนมองย้อนหลังกลับไป มันทำให้เกิดความรู้สึกทึ่งจริงๆ นะ เมื่อได้ตระหนักรับรู้ว่า ในการตอบโต้ต่อการก่อการร้ายซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียว วอชิงตันได้จุดไฟเผาทั่วทั้งตะวันออกกลาง, เปลี่ยนให้การเดินทางโดยทางอากาศกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการถูกพันธนาการราวกับว่าเรากลายเป็นทาส และโยนทิ้งส่วนที่ดีเยี่ยมที่สุดแห่งความเป็นประชาธิปไตยของเรา
ไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรเลย เมื่อจะใช้รัฐบัญญัติ “แพทริออต แอคต์” (Patriot Act Patriot Act), คุกกวนตานาโม, การส่งตัวนักโทษเดินทางไปถูกสอบปากคำในดินแดนนอกสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายห้ามการทรมานนักโทษ (rendition)[6], การลอบสังหารโดยใช้อากาศยานไร้นักบิน (โดรน)[7], หรือการที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Agency) กำลังหันเครื่องมือสอดแนมสืบความลับของตนเข้ามาภายในประเทศ ทำเนียบขาวเก็บงำรายละเอียดอันน่าสะอิดสะเอียนที่สุดจำนวนมากเอาไว้ไม่ให้เรารับรู้ ทว่าไม่ได้เก็บเป็นความลับเลยในเรื่องเจตนารมณ์กว้างๆ ของตน ชาวอเมริกันโดยรวมแล้วให้การสนับสนุนขั้นตอนแต่ละขั้นตอนเป็นอันดี และเวลาต่อมาวอชิงตันก็ทำการปกป้องคุ้มครอง [8] ชายหญิงผู้ลงมือกระทำแต่ละพฤติการณ์โสโครกเหี้ยมโหดเหล่านั้นซึ่งตนเองเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น ชายหญิงเหล่านี้ก็เป็นเพียงผู้กระทำตามคำสั่งเท่านั้น
กฏกติกาที่มีอยู่ในเวลานี้ถึงขนาดอนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถเลือกพลเมืองชาวอเมริกันที่จะถูกสังหารด้วยโดรน โดยที่ไม่ต้องเข้ากระบวนการทางกฎหมายอะไรแม้แต่น้อยนิด [9] ท่านประธานาธิบดีพูดปลอบใจว่าจะกระทำเช่นนี้เมื่ออยู่ในต่างประเทศเท่านั้น ทว่าคุณแทบจะสามารถมองเห็นได้ว่านิ้วมือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของเขานั้นไขว้กันอยู่ ซึ่งแสดงว่ากำลังเจตนาที่จะโกหก แล้วไม่ใช่ว่ามีชาวอเมริกันผู้หวังดีตั้งมากมายอย่างน่าสะพรึงกลัวหรอกหรือที่แสดงความสนับสนุนการใช้โดรนเข้าโจมตีเล่นงานคนร้ายในเหตุกราดยิงเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน (San Bernardino) รัฐแคลิฟอร์เนีย หรือในกรณีกราดยิงที่ไนต์คลับ “พัลส์” (Pulse) ในเมืองออร์แลนโด (Orlando) รัฐฟลอริดา ? ไม่ใช่มีผู้สนับสนุนกันมากมายให้ใช้หุ่นยนต์ในการสังหารผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส ?[10]
หวนกลับสู่มาตุภูมิ
ความหวาดกลัวในรูปแบบต่างๆ หลายหลากของยุคหลัง 9/11 แอบซอกซอนเข้ามาแฝงฝังอยู่ในพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้น ผมใช้เวลา 1 สัปดาห์ของฤดูร้อนปีนี้ไปในการเฝ้าดูข่าวอย่างคลั่งไคล้ เพื่อมองหาสัญญาณแห่งความยุ่งยากใดๆ ก็ตามทีในอียิปต์ ขณะที่ลูกสาวผมเดินทางไปที่นั่นเพื่อเยี่ยมเยียนคนรู้จักมักคุ้นเก่าแก่ในสถานเอกอัครราชทูตที่นั่นบางคน ผมรู้สึกวิตกกังวลว่าเธอกำลังเสี่ยงชีวิตของเธอเองในการไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งในประเทศหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเนืองนองไปด้วยนักท่องเที่ยว
ดังนั้นผมจึงต้องการกล่าวขอโทษต่อลูกสาวผมและเพื่อนๆ ของเธอ สำหรับการที่ทุกๆ ประเทศซึ่งพวกเราชาวอเมริกันท่าทางเก้งก้างเคอะเขินในชุดขาสั้นและรองเท้าแตะ เคยได้รับการปฏิบัติอย่างอดทนอดกลั้นอย่างน้อยที่สุดก็กาลครั้งหนึ่งในอดีต ทว่าในเวลานี้กลับกลายเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพวกเราที่จะไปเยือน ต้องขอโทษสำหรับการที่พวกเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองบาบีโลน (Babylon) หรือ มหามัสยิดแห่งเมืองซามาร์รา (Great Mosque of Samarra) ในอิรัก ยกเว้นแต่ว่าพวกเธอจะเข้าเป็นทหารในกองทัพ
ตอนที่เดินทางกลับมาถึงสหรัฐฯ ลูกสาวผมโทรศัพท์จากสนามบินบอกว่าจะกลับถึงบ้านในเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผมไม่ได้เอ่ยอ้างถึงความวิตกของผมในเรื่องที่เธออาจจะถูกหยุดเอาไว้ที่ “ชายแดน” [11] นามเรียกขานใหม่สำหรับการรอรับกระเป๋าสัมภาระ หรือว่าโทรศัพท์มือถือของเธออาจถูกเจ้าหน้าที่ยึดไว้โทษฐานที่หาญกล้าเดินทางไปตะวันออกกลาง ในทางเป็นจริง ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้หนึ่งสอบถามเธอเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่เธอเดินทางไปที่นั่น อันเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของทางอียิปต์ก็ยังไม่รบกวนเธอด้วยคำถามเช่นนี้
ผมยังต้องการขอโทษลูกสาวผมเพราะว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยการสอดแนมเฝ้าระวังใหม่ๆ ของเรานี้ เธอจะไม่มีวันได้รู้จักจริงๆว่าความเป็นส่วนตัวนั้นเป็นอย่างไร ผมจำเป็นต้องขอให้เธอยกโทษสำหรับการที่เราปล่อยให้เรื่องเช่นนี้บังเกิดขึ้นอย่างง่ายดายเหลือเกิน โดยที่คนจำนวนมากเพียงแค่เดินไปรอบๆ พลางบ่นอุบอิบว่าพวกเขาไม่มีอะไรซุกซ่อนไว้ ดังนั้นจะต้องไปกังวลอะไรนักหนา ผมต้องการที่จะบอกเธอว่าผมเสียใจแค่ไหนที่เวลานี้เธอรู้สึกหวาดกลัวตำรวจ ไม่เพียงแค่สำหรับตัวเธอเองเท่านั้น ทว่าเป็นพิเศษเลยสำหรับเพื่อนที่เป็นคนผิวสีของเธอ ผมต้องการที่จะบอกเธอว่าผมรู้สึกแย่ขนาดไหนที่เธอรู้จักเพียงแค่วิธีบังคับใช้กฎหมายในเวอร์ชั่นแบบเหมือนกับรัฐทหารเหลือเกินเท่านั้น โดยที่ได้พบเห็นเพียงตัวอย่างของเรื่องนี้จากรัฐแห่งนี้ที่เน้นหนักแต่เรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บังคับใช้กฎหมายในรัฐเช่นนี้มองพวกเราทั้งหมดในฐานะผู้ที่อาจกลายเป็นศัตรู และเชื่อว่างานส่วนสำคัญของพวกเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกดขี่ลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของพวกเรา
ผมรู้สึกเสียใจ ผมต้องการพูดกับเธอ ในเรื่องที่พวกผู้ประท้วงถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในอะไรบางอย่างซึ่งเรียกขานกันว่า “พื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี” (free speech zone)[12] และถูกรายล้อมไว้ด้วยตำรวจเดิมๆ เหล่านั้น ผมต้องการบอกกับลูกสาวผมว่า เหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (the Founders) จะต้องผุดลุกขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวแห่งสำนึกในความถูกต้องชอบธรรม ในแนวความคิดที่ตำรวจกำลังบังคับพลเมืองให้เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่นอกสถานที่ประชุมทางการเมือง –รวมทั้งต่อข้อเท็จจริงที่ว่า นักหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ที่สุดไม่ได้มองเห็นว่าพัฒนาการที่เกิดขึ้นนี้ คือข่าวใหญ่ข่าวสำคัญชิ้นหนึ่งในยุคสมัยของพวกเรา
ขณะที่ผมส่งเธอออกเดินทางไปมหาวิทยาลัย ผมต้องการพูดว่าผมเสียใจขนาดไหนที่เราได้สร้างความสับสนอลหม่านให้แก่โลกของเธอ เสียใจที่เราไม่เพียงไม่ได้ยังความพ่ายแพ้ให้แก่พวกผู้ก่อการร้าย ในวิถีทางเดียวกับที่คุณปู่ได้เคยกระทำกับพวกนาซีเท่านั้น แต่ด้วยการปฏิบัติการต่างๆ ของพวกเรา กลับกลายเป็นอุดมการณ์ซึ่งชุบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้และได้บุคคลหน้าใหม่ๆ ที่จะเรียกระดมเข้ามาเป็นสมาชิกของพวกเขาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อัลกออิดะห์ได้วาง “กับดัก” [13] เอาไว้ในเหตุการณ์ 9/11 และเราก็กระโจนพรวดพราดเข้าไปในกับดักดังกล่าว เรือนจำที่พวกผู้ยึดครองชาวอเมริกันจัดตั้งขึ้นที่ค่ายบุคคา (Camp Bucca) ในอิรัก ได้กลายเป็น “โรงงาน” [14] สำหรับการผลิตนักรบญิฮาด สำหรับห้องทรมานนักโทษของคุกอาบูกรออิบ (Abu Ghraib) ก็ยังคงอยู่ เฉกเช่นเดียวกับคุกกวนตานาโม ในรูปของโฆษณาให้ข้อมูลข่าวสารสำหรับการเชื้อเชิญคนอื่นๆ ให้จับอาวุธขึ้นมา
ภาวะธรรมดาสามัญรูปแบบใหม่
ลูกสาวผมไม่ใช่ไร้เดียงสา ก็เหมือนๆ กับเพื่อนร่วมชั้นของเธอเป็นจำนวนมาก เธอมีความตระหนักสำนึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกือบทั้งหมด ทว่าเธอไม่ได้มีอะไรสำหรับการเปรียบเทียบ ปลาสามารถมองเห็นอะไรหรือในน้ำที่อยู่รอบๆ ตัวมัน? แล้วลองจินตนาการดูว่ายิ่งเป็นลูกๆ ในอนาคตของเธอด้วยแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้นไปอีกขนาดไหน ชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเธอถูกหมายเอาไว้ด้วยสงครามที่ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ มันมากมายเสียจนกระทั่งวลีที่ว่า “ยังความปราชัยให้แก่พวกผู้ก่อการร้าย” แทบไม่เป็นวลีที่ทำให้เธอเหลือบตาแล มันกลายเป็นสิ่งประจำรุ่นอายุจนถือเป็นเรื่อง ธรรมดาสามัญ จนเกินไปเสียแล้ว คล้ายๆ กับเด็กๆ ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ยุคเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ 1930 -ผู้แปล) ที่ยังคงเก็บรวบรวมฟอยด์อลูมิเนียมและถุงกระดาษเอาไว้ในห้องใต้ถุน ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจเคลื่อนเข้าสู่ช่วงเจริญรุ่งเรืองมาหลายสิบปีแล้ว
ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่คนรุ่นอายุของเธอจะรับมือกับเรื่องนี้ในลักษณะดีดเด้งไปมา ระหว่างการเยาะเย้ยถากถางแบบหยามโลกเกลียดชังมนุษย์ (cynicism) กับการหยุดพักด้วยความที่ไม่รู้จะเชื่ออะไรดี การหยุดพักด้วยความที่ไม่รู้จะเชื่ออะไรดีนี้แหละ ในแง่หนึ่งกลายเป็นการเปิดทางให้ผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งผู้คนอายุมากกว่าซึ่งควรที่จะทราบอะไรดีๆ ยิ่งกว่า ยอมรับแนวความคิดที่ว่าการรุกรานอิรักเป็นการตอบโต้อันสมเหตุสมผลต่อการโจมตีอเมริกาของกลุ่มชาวซาอุดีฯกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเงินบริจาค “เพื่อการกุศล” ของชาวซาอุดีฯ [15] ครั้นเมื่อมาถึงตอนนี้ การป่าวร้องกันว่า “มันยังไม่ได้เป็นอาชญากรรมจริงๆ หรอก” (“well, it wasn’t actually a crime”) แทบจะเท่ากับคำขวัญรณรงค์เรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งไม่อาจเป็นอะไรอื่นนอกจากเป็นอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นั้นย่อมเป็นโลกซึ่งอยู่บนเส้นทางของการยอมรับว่า 2+2 สามารถที่จะเท่ากับ 5 ได้จริงๆ – ถ้าหากพวกผู้นำของเราบอกเราว่ามันเป็นเช่นนั้น [16]
เรายินยอมปล่อยให้พวกผู้นำเหล่านี้ออกมาอ้างว่า ทหารอเมริกันจำนวนหลายพันคนซึ่งเวลานี้ประจำอยู่ในอิรักนั้น สามารถที่จะอธิบายได้ว่าไม่ได้เป็น “กำลังภาคพื้นดิน” หรือ “ทหารภาคพื้นดิน” [17] ขณะทีการใช้โดรนไปถล่มโจมตี เราก็ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นการโจมตีอย่างเฉียบคมแม่นยำ [18] เป็นการสังหารเพียงแค่พวกคนเลวๆ โดยใช้ขีปนาวุธสุดวิเศษ และไม่เคยจงใจโจมตีใส่พลเรือน [19], โรงพยาบาล [20], หรืองานแต่งงาน [21] การเสียชีวิตของมนุษย์ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้นและก็เป็นอุบัติเหตุ พอๆ กับพวกรอยขูดรีดบนประตูรถของคุณ จากพวกรถเข็นช็อปปิ้งที่ถูกทิ้งเอาไว้อย่างไม่เป็นที่ไม่เป็นทางในลานจอดรถของศูนย์การค้านั่นแหละ
ช่วยทำความสะอาดต่อจากพ่อด้วยนะ
หากจะมีใครสักคนที่จะซ่อมแซมแก้ไขความปั่นป่วนอลเวงเช่นนี้แล้ว ผมต้องการที่จะบอกลูกสาวผมว่า มันจะต้องเป็นหนูนั่นแหละ และผมก็ต้องการที่จะพูดเสริมว่า หนูต้องทำให้ได้ดีกว่าที่พ่อทำไว้นะ – ถ้าหาก หนูต้องการจริงๆ ที่จะหาทางพูดคำว่าขอบคุณสำหรับการที่พ่อสอนให้เล่นสเก็ต, เจ้าลูกหมาตัวนั้น, และคืนนั้นที่พ่อไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองใส่เมื่อหนูละเมิดช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพื่อให้ได้ใช้เวลากับเด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่มมากขึ้น
หลังจากลากดึงเอากล่องกระดาษแข็งกล่องสุดท้ายขึ้นบันไดไปเก็บแล้ว ผมยังคงพยายามกลั้นน้ำตาไว้จวบจนกระทั่งถึงตอนท้ายมากๆ ตอนที่สวมกอดลูกสาวผมในชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าผมไม่ได้กำลังอยู่ตรงที่ผมยืน หากแต่อยู่ในที่อื่นๆ อีกเป็นร้อยๆ แห่ง ผมไม่ได้กำลังปลอบขวัญผู้หญิงวัยยี่สิบเศษๆ ผู้เฉลียวฉลาด ภาคภูมิใจในตนเอง และกำลังประหวั่นพรั่นพรึงกับเรื่องที่จะเรียนมหาวิทยาลัยเป็นปีสุดท้ายแล้ว หากแต่เป็นนักเรียนหญิงชั้นประถมที่กำลังจะเข้านอนในคืนที่จะเป็นที่จดจำไปตลอดกาลในฉายานามสั้นๆ ว่า 9/11
หลังจากส่งลูกสาวและกลับมาถึงบ้านอีกครั้ง บ้านที่ว่างเปล่าและเงียบเชียบ ข้างนอก ใบไม้ต่างๆเพิ่งมีร่องรอยของสีเหลืองอ่อน ถึงเวลาอาหารกลางวัน ผมมีผลสตรอว์เบอร์รีท้ายฤดูรสชาติเกือบๆ หวานจำนวนหนึ่ง ซึ่งเพียงพอสำหรับยืนยันการมีอยู่ของพลังอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป ผมจะต้องอาลัยฤดูร้อนของปีนี้อย่างแน่นอน
ผมทราบดีว่าผมไม่ได้เป็นพ่อแม่คนแรกหรอกที่เกิดความรู้สึกนึกคิดพาดพิงสะท้อนไปถึงเรื่องต่างๆ ขณะเฝ้ามองลูกคนสุดท้ายของเขาก้าวออกไปจากประตูบ้าน เพียงแต่ว่าผมมีความรู้สึกสำนึกเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกำลังจะต้องก้าวเข้าไปเผชิญ นั่นคือ โลกของอเมริกันที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวซึ่งเกิดผิดที่ผิดทาง ความหวาดกลัวคือสิ่งเลวร้ายสยดสยองซึ่งสมควรที่จะรู้สึกเสียใจเมื่อนึกถึง และนั่นในตัวมันเองก็สมควรที่จะทำให้เกิดความหวาดผวาขึ้นมาแล้ว
หมายเหตุ
[1] http://www.globalresearch.ca/the-terrorism-statistics-every-american-needs-to-hear/5382818
[2] https://www.dhs.gov/see-something-say-something
[3] http://www.people-press.org/2016/09/07/15-years-after-911-a-sharp-partisan-divide-on-ability-of-terrorists-to-strike-u-s/?utm_source=adaptivemailer&utm_medium=email&utm_campaign=16-09-07%209/11&org=982&lvl=100&ite=254&lea=32754&ctr=0&par=1&trk=
[4] https://www.airforcetimes.com/articles/terrorist-threat-hasnt-abated-15-years-after-9-11-top-army-general-ays?utm_source=Sailthru&utm_medium=email&utm_campaign=Military%20EBB%209-12-16&utm_term=Editorial%20-%20Military%20-%20Early%20Bird%20Brief
[5] http://www.npr.org/sections/thetwo-way/2014/12/19/371865080/thailand-says-it-was-unaware-of-cia-black-site-on-its-soil
[6] https://www.therenditionproject.org.uk/
[7] http://www.tomdispatch.com/blog/175872/tomgram%3A_peter_van_buren,_undue_process_in_washington/
[8] https://www.theguardian.com/us-news/2016/sep/09/dan-jones-cia-torture-cover-report-senate
[9] http://www.tomdispatch.com/post/175807/tomgram%3A_peter_van_buren,_the_divine_right_of_president_obama/
[10] http://wemeantwell.com/blog/2016/07/09/the-dallas-police-used-a-drone-for-the-first-time-to-kill-someone-in-america/
[11] http://www.tomdispatch.com/post/175861/tomgram%3A_peter_van_buren,_what_we've_lost_since_9_11_(part_2)/
[12] http://www.cleveland.com/rnc-2016/index.ssf/2016/06/aclu_sues_cleveland_over_repub.html
[13] http://www.tomdispatch.com/post/176183/tomgram%3A_engelhardt%2C_a_9_11_retrospective%3A_washington%27s_15-year_air_war/
[14] http://www.vox.com/2014/12/11/7377165/isis-us-prison
[15] https://28pages.org/2016/07/20/selected-revelations-from-the-declassified-28-pages-on-911/
[16] https://ca.answers.yahoo.com/question/index?qid=20091115100113AAnlO4y
[17] https://www.armytimes.com/story/military/2016/07/11/iraq-us-troops-deploy/86938318/
[18] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2012/09/calling-us-drone-strikes-surgical-is-orwellian-propaganda/262920/
[19] https://www.thebureauinvestigates.com/category/projects/drones/drones-graphs/
[20] http://wemeantwell.com/blog/2015/10/22/americas-civilian-killings-are-no-accident/
[21] http://www.tomdispatch.com/blog/175787/tomgram:_engelhardt,_washingtons_wedding_album_from_hell/print
(ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ TomDispatch)
ปีเตอร์ แวน บูเรน เป็น “ผู้เป่านกหวีด” เปิดโปงความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่ายและการบริหารอันผิดพลาดของกระทรวงการต่าง ประเทศสหรัฐฯในระหว่าง “การฟื้นฟูบูรณะ” อิรัก เอาไว้ในหนังสือของเขาที่ใช้ชื่อเรื่องว่า We Meant Well: How I Helped Lose the Battle for the Hearts and Minds of the Iraqi People. เขาเป็นนักเขียนประจำให้แก่ TomDispatch ตลอดจนเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันให้แก่ We Meant Well หนังสือเล่มท้ายสุดของเขาคือเรื่อง Ghosts of Tom Joad: A Story of the #99Percent. ส่วนผลงานชิ้นต่อไปของเขาจะเป็นเรื่อง Hooper's War นวนิยายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองในญี่ปุ่น
หมายเหตุผู้แปล
ทอม เองเกลฮาร์ดต์ (Tom Engelhardt) นักเขียนและบรรณาธิการชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งออนไลน์บล็อก “tomdispatch.com” จะเขียนอารัมภบท (ที่เขาเรียกว่า Tomgram) ให้แก่ข้อเขียนซึ่งเขาเลือกสรรนำมาเผยแพร่ใน TomDispatch สำหรับข้อเขียนเรื่อง It’s Personal, Apologizing to My Daughter for the Last 15 Years of War (คำขอโทษถึงลูกสาวของผม สำหรับ ‘สงครามของอเมริกา’ ช่วง 15 ปีภายหลัง 9/11) ของ ปีเตอร์ แวน บูเรน ชิ้นนี้ก็เช่นกัน เองเกลฮาร์ดต์ได้เขียน Tomgram ใช้ชื่อว่า Peter Van Buren, Class of 2017 -- So Sorry! (ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ!) ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมบางแง่บางมุมอย่างน่าสนใจ จากข้อเขียนของ แวน บูเรน เอง จึงขอเก็บความนำมาเสนอเอาไว้ในที่นี้:
ทอมแกรม: ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ!
มาเริ่มต้นกันด้วยสิ่งทีเป็นพื้นฐานกันก่อน ในยุคสมัยตอนที่สหรัฐฯดูเหมือนกับไม่มีมหาอำนาจยิ่งใหญ่รายอื่นๆ เป็นคู่แข่งเอาเลยนั้น รัฐความมั่นคงแห่งชาติ (national security state) ของสหรัฐฯได้ขยายตัวออกไปด้วยสัดส่วนอันใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน [1] แถมยังได้รับมอบหมาย “สิทธิ” ที่จะปฏิบัติการต่างๆ ตั้งแต่ การลักพาตัว [2] ไปจนถึงการทรมานนักโทษ [3], การสอดแนมสืบความลับพลเมืองของตนเอง ไปจนถึงการลอบสังหาร [4] โดยที่อิงอาศัยเหตุการณ์อันสยดสยองต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายในเวลาเพียงวันเดียว [5] ตลอดจนอิงอาศัยภัยอันตรายที่เกิดขึ้นมาเพียงประการเดียว นั่นคือการเข่นฆ่าเมื่อวันที่ 11 กันยายน และการคุกคามของการก่อการร้าย ในช่วงปีเหล่านี้ ก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเริ่มต้นก่อกวนสร้างความปั่นป่วนเพื่อความสนุกสนานของตนเองด้วยซ้ำไปนั้น ชาวอเมริกันก็ได้ถูกป้อนให้บริโภคความหวาดกลัวภัยอันตรายชนิดหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกาเองนั้น ควรต้องถือว่าเป็นภัยอันตรายเล็กๆ เท่านั้น อย่างไรก็ดี จากกระบวนการดังกล่าวนี้เอง กล่าวในทางเนื้อหาสาระแล้ว เราก็กำลังก่อการร้ายสร้างความสยดสยองให้แก่ตัวพวกเราเองจนกระทั่งเข้าไปสู่โลกแห่งใหม่
ถ้าหากคุณต้องการวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่แท้จริงชนิดต่างๆ ในชีวิตชาวอเมริกันแล้ว ควรต้องเริ่มต้นจากเรื่องยานพาหนะ ไม่ใช่เรื่องผู้ก่อการร้าย อันที่จริงแล้วถ้าคุณฉลาดหลักแหลมและต้องการหลีกหนีภัยอันตรายแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจขบคิดกับเรื่องการก่อการร้ายอิสลามิสต์หรอก แต่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงท้องถนนเข้าไว้ เพราะในปี 2015 สหรัฐฯประสบพบเห็นกรณีการตายด้วยยานพาหนะ เพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุดในรอบระยะเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาทีเดียว [6] นั่นคือมีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมแล้วกว่า 38,000 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 4.4 ล้านคน ครั้นมาถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2016 นี้ ตัวเลขเหล่านี้ได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก 9%[7] โดยที่ยังมองไม่เห็นเลยว่าการเข่นฆ่ากันอย่างนองเลือดเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ไม่เหมือนกับสงครามต่อสู้การก่อการร้ายของเรา (ตลอดจนการสู้รบขัดแย้งกันใน 7 สมรภูมิ [8] ที่เวลานี้ดำเนินไปพร้อมๆ กับสงครามสู้การก่อการร้ายนี้) ไม่มีใครเลยที่ทำท่าจะใช้จ่ายเงินเป็นหลักล้านล้านดอลลาร์ [9] เพื่อจัดการกับการเสียชีวิตประเภทซึ่งเกิดจากยานพาหนะ ถึงแม้สาเหตุของการตายเช่นนี้ในแต่ละปีจะมีจำนวนคิดเป็นกว่า 12 เท่าตัวของการเสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 หรือหากต้องการพิจารณากันในขอบเขตที่เล็กลงมาสักหน่อย ก็ลองดูที่การเสียชีวิตของคนอเมริกันจากการตกลงมาจากเตียงนอนของพวกเขาเอง [10], จากการถูกรถตัดหญ้าชน, ตลอดจนจากการถูกเด็กที่ถือปืนยิงเอา [11] ในระยะปีหลังๆ มานี้ อันตรายเหล่านี้แต่ละประเภทล้วนแต่ก่อให้เกิดการตายในสหรัฐฯเป็นจำนวนเท่ากันหรือมากกว่าการเสียชีวิตจากผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ (หรือจากบุคคลป่วยด้วยโรคจิตโรคประสาท ซึ่งมักคิดว่าตนเองเป็นพวกนั้น [12]) ทว่าไม่เห็นมีใครเลยกำลังทำการลงทุนในกลไกรัฐเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อป้องกันคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ ขณะเดียวกัน ประเทศชาติก็ไม่ได้ชักดิ้นชักงอด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับฆาตกรที่เป็นรถตัดหญ้าหรือเป็นเด็กน้อยที่ถืออาวุธ ถึงแม้ความหวาดกลัวที่จะตกเป็นเป้าหมายของพวกผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ ยังคงเพิ่มทวีขึ้นไปเรื่อยๆ [13] (โดยเฉพาะในหมู่ชาวพรรครีพับลิกัน)
มาถึงปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตซึ่งสร้างขึ้นมาและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากความหวาดกลัวหนึ่งเดียวนี้ ก็ได้ดัดแปลงพลิกโฉมรัฐความมั่นคงแห่งชาติของเรา ให้กลายเป็นอำนาจแขนงที่ 4 ของรัฐบาลอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว [14] ผมใคร่ขอเพิ่มเติมพัฒนาการใหม่ๆ อีกอย่างหนึ่งเอาไว้ตรงนี้ด้วย กล่าวคือ ภูมิทัศน์ใหม่ทางด้านสื่อมวลชนก็ได้ถูกสร้างขึ้นมา จากช่วงขณะของการก่อการร้ายในโลกของเราเช่นเดียวกัน ในปีนี้ซึ่งในสื่อมวลชนเต็มไปด้วยวงจรข่าวเกี่ยวกับ โดนัลด์ ทรัมป์ วนเวียนกันไปเรื่อยราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้น สิ่งเดียวเท่านั้นซึ่งรับประกันได้ว่าสามารถที่จะตัดขาดวงจรข่าวนี้ได้ และเข้าแทนที่ผูกขาดความสนใจบนหน้าจอของพวกเราได้ ก็คือข่าวการสังหารผู้คนอย่างฉับพลันโดยฝีมือของใครบางคนซึ่งประกาศอ้างความจงรักภักดีต่อไอเอส หรือได้รับแรงบันดาลใจจากไอเอส ในทางปฏิบัติแล้วคุณสามารถท่องจำชื่อของสถานที่ต่างๆ ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ทีเดียว เป็นต้นว่า ซานเบอร์นาร์ดิโน, ออร์แลนโด, ปารีส, บรัสเซลส์, นีซ –ซึ่งก็คือเราสามารถจดจำได้ว่าผู้คนที่เราถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับเรานั้นได้ประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนกันบ้าง (ทว่าคงแทบไม่มีใครสามารถท่องจำสถานที่อย่าง คาบูล [15], เอเดน [16], แบกแดด [17], อิสคันดาริยา [18], หรือ อิสตันบูล [19], ตลอดจนสถานที่อื่นๆ [20] ทั้งๆ ที่สถานที่เหล่านี้ก็มีเหตุการณ์ก่อการร้ายระดับรุนแรงเช่นเดียวกัน) เหตุการณ์แบบนี้ ถ้าหากเกิดขึ้นกับคนที่ใช่ ก็จะสามารถผูกขาดเวลาออกหน้าจอได้เป็นวันๆ หรือกระทั่งเป็นอาทิตย์ๆ ทีเดียว ระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้นเองก็ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงอันตรายอย่างเกินเลย ชนิดไม่ได้สัดส่วนกับระดับภัยคุกคามที่มีต่อชีวิตของเราจริงๆ
สิบห้าปีภายหลัง 9/11 นี่คือวิถีชีวิตแบบอเมริกันของพวกเราโดยแท้ ปัจจุบันนี้จากการที่รัสเซียและจีนกำลังถูกยกระดับ หรือกำลังเดินหน้า [21] เข้าสู่ “สถานะความเป็นศัตรู” [22] ในสายตาของวอชิงตัน ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างๆ ก็ยังคงกำลังกระจายตัวออกไปทั่วทั้งมหาภูมิภาคตะวันออกกลาง (Greater Middle East) คุณย่อมสามารถคาดหมายได้ว่า ความหวาดกลัวประเภทเดียวกันกับที่กำลังถูกปลดประจำการอยู่แล้ว [23] จะต้องเพิ่มทวีขึ้นต่อไปอีกในช่วงเวลาหลายๆ ปีข้างหน้า นี่ควรต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวอเมริกันรู้สึกอับอายขายหน้า ทว่าโดยทั่วไปแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงมีความเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษ (หรือบางทีผมต้องการหมายถึง มีอารมณ์ความรู้สึกร่วม [24]) ต่อการที่ ปีเตอร์ แวน บูเรน อดีต “นักเป่านกหวีด” เตือนภัยให้ผู้คนสนใจความไม่ชอบมาพากลในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และนักเขียนประจำคนหนึ่งของ TomDispatch [25] ออกมารบเร้าที่จะแสดงความเสียใจต่อลูกของเขา สำหรับโลกที่เขากำลังส่งมอบให้แก่เธอ
หมายเหตุ
(เชิงอรรถสำหรับเรื่อง ทอมแกรม: ปีเตอร์ แวน บูเรน, ผู้สำเร็จการศึกษารุ่นปี 2017 –ต้องขอโทษจริงๆ! )
[1] http://projects.washingtonpost.com/top-secret-america/articles/a-hidden-world-growing-beyond-control/ http://projects.washingtonpost.com/top-secret-america/articles/a-hidden-world-growing-beyond-control/
[2] http://www.tomdispatch.com/post/7789/engelhardt_
[3] http://www.tomdispatch.com/blog/176132/tomgram%3A_rebecca_gordon,_exhibit_one_in_any_future_american_war_crimes_trial
[4] http://www.tomdispatch.com/post/175551/tomgram%3A_engelhardt,_assassin-in-chief/
[5] http://www.tomdispatch.com/blog/176183/tomgram%3A_engelhardt%2C_a_9_11_retrospective%3A_washington%27s_15-year_air_war/
[6] http://www.npr.org/sections/thetwo-way/2016/02/18/467230965/2015-traffic-fatalities-rose-by-largest-percent-in-50-years-safety-group-says
[7] http://time.com/4462955/traffic-deaths-rising-2016/
[8] http://www.salon.com/2016/08/02/its_2011_all_over_again_the_u_s_renews_bombing_of_libya_the_7th_muslim_majority_country_with_ongoing_american_air_strikes/
[9] http://watson.brown.edu/costsofwar/files/cow/imce/papers/2016/Costs%20of%20War%20through%202016%20FINAL%20final%20v2.pdf
[10] http://www.huffingtonpost.com/todd-r-miller/the-freakonomics-of-extre_b_11821634.html
[11] http://www.tomdispatch.com/post/176013/tomgram%3A_engelhardt,_armed_violence_in_the_homeland/
[12] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2016/09/american-terrorism-fears-september-11/499004/
[13] http://www.theatlantic.com/politics/archive/2016/09/american-terrorism-fears-september-11/499004/
[14] https://www.amazon.com/dp/1608463656/ref=nosim/?tag=tomdispatch-20
[15] http://www.cnn.com/2016/04/19/asia/kabul-explosion/
[16] https://www.theguardian.com/world/2016/aug/29/yemen-suicide-bombing-aden
[17] http://www.aljazeera.com/news/2016/07/iraq-suicide-attack-kills-21-baghdad-160725071250895.html
[18] http://www.aljazeera.com/news/2016/03/suicide-attack-kills-dozens-football-stadium-iraq-160325181900028.html
[19] http://www.bbc.com/news/world-europe-36658187
[20] http://www.aljazeera.com/news/2016/08/injured-blast-hits-wedding-hall-gaziantep-160820204150494.html
[21] http://www.voanews.com/a/joint-chiefs-nominee-russia-china-biggest-threats-to-us/2855283.html
[22] http://thehill.com/policy/defense/250962-odierno-russia-is-the-most-dangerous-threat-to-us
[23] http://www.tomdispatch.com/post/176062/tomgram%3A_engelhardt,_campaign_2016_as_a_demobilizing_spectacle/
[24] http://www.tomdispatch.com/blog/175986/
[25] http://www.tomdispatch.com/post/176140/tomgram%3A_peter_van_buren,_the_snapchat_version_of_american_victory/