รอยเตอร์ - กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และอดีตรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงอย่าง ฮิลลารี คลินตัน ออกมาย้ำเตือนวานนี้ (6 ก.ย.) ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ควรมีพื้นฐานอยู่บนการเคารพซึ่งกันและกัน หลังประธานาธิบดีบารัค โอบามา ถูกผู้นำคนใหม่ของแดนตากาล็อกด่าออกสื่อว่า “ลูกกะหรี่” จนส่อแววสั่นคลอนความเป็นมิตรระหว่างทั้ง 2 ชาติ
แม้คำพูดของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต จะทำให้สหรัฐฯ ขุ่นเคืองไม่น้อย แต่เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งอดีตและปัจจุบันต่างพยายามบรรเทาผลกระทบ โดยยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างวอชิงตันและมะนิลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่ทั้งภูมิภาคกำลังตึงเครียดเรื่องที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เหตุผลที่วอชิงตันยกเลิกกำหนดการหารือนอกรอบระหว่าง โอบามา กับ ดูเตอร์เต ในการประชุมอาเซียนซัมมิตที่ลาวเมื่อวานนี้ (6) เป็นเพราะคำพูดหยาบคายของผู้นำฟิลิปปินส์ที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่แน่ใจว่าการคุยกันจะมีประโยชน์หรือไม่
“คำพูดเป็นสิ่งสำคัญ และเราอยากจะเห็นบรรยากาศที่เป็นมิตรและเอื้อต่อความร่วมมือที่เข้มแข็ง” มาร์ก โทเนอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงต่อสื่อมวลชนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศผู้มีส่วนกำหนดนโยบายให้สหรัฐฯ เน้นปกป้องผลประโยชน์ในเอเชีย-แปซิฟิกและคานอำนาจจีน ระบุว่า โอบามาทำถูกต้องแล้วที่ยกเลิกการคุยกับดูเตอร์เต
“ในเมื่อประธานาธิบดีฟิลิปปินส์พูดจาดูหมิ่นประธานาธิบดีของเรา ก็เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วที่จะพูดว่า ขอโทษนะ... จะไม่มีการประชุมเกิดขึ้น” คลินตัน ซึ่งสมัครชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวในนามพรรคเดโมแครต ให้สัมภาษณ์ระหว่างขึ้นเครื่องบินไปหาเสียง
“สหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์มีสายสัมพันธ์หลายด้าน และดิฉันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองชาติก็สำคัญมาก แต่ถึงกระนั้นทั้งสองฝ่ายก็ควรจะมีความเคารพซึ่งกันและกันบ้างในระดับหนึ่ง” คลินตันระบุ
ดูเตอร์เต ใช้คำว่า “ลูกกะหรี่” กับ โอบามา พร้อมประกาศว่าตนจะไม่ยอมให้ผู้นำสหรัฐฯ มาสั่งสอนเรื่องการทำสงครามกวาดล้างยาเสพติดที่คร่าชีวิตคนไปมากกว่า 2,400 ศพ ในช่วงเวลาแค่ 2 เดือนเศษ
ผู้นำขาโหดรายนี้เคยใช้วาทกรรม “ลูกกะหรี่” กับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแล้ว รวมถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมะนิลาที่ถูกเขาด่าว่าเป็น “ไอ้เกย์ลูกกะหรี่”
รัฐบาลมะนิลาออกมาแสดงความเสียใจเรื่องคำพูดของดูเตอร์เต หลังจากที่ทราบว่าผู้นำสหรัฐฯ ขอยกเลิกการหารือทวิภาคี แต่หลังจากนั้นไม่นานทำเนียบขาวก็แถลงเพิ่มเติมว่า โอบามา อาจจะพูดคุยกับ ดูเตอร์เต เป็นการส่วนตัวที่ลาว
เป็นที่หวั่นเกรงกันว่า ความปากร้ายและอุปนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ของ ดูเตอร์เต อาจเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่วอชิงตันจำเป็นต้องมีเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็งไว้ต่อกรกับจีน
รัฐบาลมะนิลาเป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (Permanemt Court of Arbitrary) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ จนนำมาสู่คำตัดสินหักล้างการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนเหนือน่านน้ำส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้
เมื่อเดือน มี.ค. สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงความมั่นคงฉบับใหม่ซึ่งอนุญาตให้กองทัพอเมริกันเข้าไปใช้ฐานทัพในแดนตากาล็อกได้ 5 แห่ง ข้อตกลงนี้ยังเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ส่งเรือรบและเครื่องบินทหารเข้าไปผลัดเปลี่ยนประจำการ เพื่อใช้ในภารกิจด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงทางทะเล
แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่า ความร่วมมือทางการทหารกับฟิลิปปินส์ยัง “เข้มแข็ง” และ “ยั่งยืน” เสมอมา หลังถูกสื่อมวลชนถามว่าคิดอย่างไรเรื่องที่ผู้นำฟิลิปปินส์ใช้คำหยาบกับ โอบามา
คาร์เตอร์ กล่าวด้วยว่า เดลฟิน โลเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของฟิลิปปินส์ เป็นผู้ที่ “มีความรู้ความเข้าใจอย่างดีเยี่ยมเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เราทั้งสองชาติได้ทำร่วมกันมา”
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนหนึ่งยืนยันเช่นกันว่า ความสัมพันธ์ “ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล” ยังเข้มแข็งดี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ดูเตอร์เต เป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวามานานถึง 20 ปี และยังอ่อนประสบการณ์ในฐานะผู้นำประเทศ
“เขาคงพยายามปรับตัวให้เข้ากับงานใหม่อยู่” เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าว
อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนมองว่าจีนคงจะพอใจหากสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์แตกคอกันได้
“อีกไม่นานคงจะได้รู้กันว่าประธานาธิบดีดูเตอร์เตจะหยุดแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ และหวนกลับมาตระหนักได้หรือไม่ว่าเขาจะต้องเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมกับผู้นำสหรัฐฯ” เอมี ซีไรต์ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของเพนตากอน ซึ่งปัจจุบันทำงานกับศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าว