เป็นเรื่อง! ผู้นำขาโหดปินส์ “ดูเตอร์เต” จวกทูตสหรัฐฯ เป็น “เกย์”

เอเอฟพี - สหรัฐฯ เรียกอุปทูตฟิลิปปินส์ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เข้าพบเพื่อแสดงความไม่พอใจ หลังจากประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต กล่าวดูหมิ่นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ว่าเป็น “เกย์” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ดูเตอร์เต ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก ได้ใช้คำดูหมิ่นคนรักร่วมเพศในภาษาตากาล็อก เพื่อแสดงความไม่พอใจในตัวเอกอัครราชทูต ฟิลิป โกลด์เบิร์ก ออกสื่อโทรทัศน์ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (5 ส.ค.)

“พวกคุณก็รู้ๆ กันอยู่ ผมกำลังสู้กับทูต (ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคร์รี) ทูตเกย์ของเขา... ไอ้ลูกกะหรี่คนนั้น มันทำให้ผมรำคาญมาก” ดูเตอร์เตกล่าว

ดูเตอร์เต วัย 71 ปี ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาหลายสมัย รวมระยะเวลานานกว่า 20 ปี ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย โดยอาศัยกลยุทธ์การหาเสียงที่ก้าวร้าวดุดัน และการใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทอบุคคลสำคัญอย่างไม่ไว้หน้าตั้งแต่นักการเมืองท้องถิ่นเรื่อยไปยัน “พระสันตะปาปา”

เรื่อง “เกาเหลา” ระหว่าง ดูเตอร์เต กับเอกอัครราชทูต โกลด์เบิร์ก เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เขาหาเสียงเลือกตั้ง โดยดูเตอร์เตได้ออกมาพูดว่าอยากจะลองข่มขืน “มิชชันนารีสาวสวย” ชาวออสเตรเลียคนหนึ่งซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศและฆ่าทิ้งระหว่างที่นักโทษเรือนจำเมืองดาเวาก่อเหตุจลาจลเมื่อปี 1989

โกลด์เบิร์ก และเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำกรุงมะนิลา ได้ออกมาประณามดูเตอร์เตด้วยถ้อยคำที่รุนแรง

“เขาก้าวก่ายการเลือกตั้ง ออกไปแสดงความคิดเห็นที่นั่นที่นี่ ซึ่งเขาไม่ควรจะทำแบบนั้น” ดูเตอร์เตเอ่ยถึงพฤติกรรมของทูตสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (5)

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เรียกอุปทูตฟิลิปปินส์ แพทริก ชัวซาโต เข้าพบเมื่อวันจันทร์ (8) เพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่ดูเตอร์เตพูด

“เราได้คุยกับอุปทูตฟิลิปปินส์จริง” เอลิซาเบธ ทรูโด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยัน

“ดิฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเหตุใดผู้นำฟิลิปปินส์จึงพูดเช่นนั้น”

ชาร์ลส โฆเซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้เรียกตัวอุปทูตฟิลิปปินส์เข้าพบ แต่เป็นการ “เชิญให้ไปที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหารือเรื่องความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ”

“ความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองประเทศยังคงเหนียวแน่น” โฆเซ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีวันนี้ (10)

ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของสหรัฐฯ ถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญของวอชิงตันในภูมิภาคนี้ และยังมีความร่วมมือด้านกลาโหมกันมาอย่างยาวนาน