เอเจนซีส์ / MGR online - ฝูงชนชาวกาบองที่กำลังโกรธแค้นพากันบุกเผาอาคารที่ทำการรัฐสภาในกรุงลิเบรอวิลล์ เมืองหลวงของประเทศในวันพุธ (31 ส.ค.) เพื่อเป็นการประท้วงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ออกมาแบบ “ค้านสายตา” ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ต่างออกมาก่อจลาจลเช่นเดียวกัน
รายงานข่าวระบุว่า เหตุบุกเผาอาคารรัฐสภากาบองในกรุงลิเบรอวิลล์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากที่กระทรวงมหาดไทยของกาบองออกคำแถลงผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐ ระบุให้ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง อาลี บองโก ออนดิมบา เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา ถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าชัยชนะในการเลือกตั้งหนนี้จะตกเป็นของผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านเสียมากกว่า
หลังการเผยแพร่คำประกาศของกระทรวงมหาดไทยกาบองที่ให้ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง อาลี บองโก ออนดิมบา เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งสิ้นสุดลง มีรายงานว่าประชาชนจำนวนมากที่ไม่เชื่อในผลการเลือกตั้งดังกล่าวได้ออกมารวมตัวกันตามถนนสายหลักของกรุงลิเบรอวิลล์ เพื่อแสดงความไม่พอใจ และพยายามเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังที่ทำการคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมตะโกนข้อความว่า “อาลีต้องสละอำนาจ” ท่ามกลางความพยายามขัดขวางของตำรวจจลาจลและกำลังทหารที่ได้ “รับคำสั่งจากรัฐบาล” ให้สลายการชุมนุมของฝูงชนที่กำลังโกรธแค้นและบ้าคลั่ง
รายงานข่าวระบุว่า ความพยายามในการสลายการเดินขบวนประท้วงผลการเลือกตั้งของตำรวจปราบจลาจลและทหารกาบอง ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงกับกลุ่มผู้ประท้วงในหลายจุด และยิ่งจุดกระแสให้มีประชาชนเดินทางออกจากบ้านมาเข้าร่วมเดินขบวนมากยิ่งขึ้น จนจำนวนของผู้ประท้วงมีมากกว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายเท่าตัวในกรุงลิเบรอวิลล์ และมีรายงานการประท้วงผลการเลือกตั้งในอีกหลายเมืองทั่วประเทศ
คำแถลงของกระทรวงมหาดไทยกาบอง ซึ่งอ้างการยืนยันจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของประเทศระบุว่า ประธานาธิบดีอาลี บองโก ออนดิมบา เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยได้คะแนนเสียงร้อยละ 49.80 เฉือนเอาชนะ ฌ็อง ปิง ผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ได้คะแนนเสียง 48.23 เปอร์เซ็นต์ไปแบบฉิวเฉียด โดยที่รัฐบาลกาบองปฏิเสธจะเปิดเผยผลการนับคะแนนรายหน่วยเลือกตั้งตามข้อเรียกร้องของฝ่ายค้าน รวมถึงข้อเรียกร้องของคณะผู้สังเกตการณ์นานาชาติ ทั้งจากสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้ ฌ็อง ปิง ผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ออกมาประกาศในวันอาทิตย์ (28 ส.ค.) ว่าตนเองเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของกาบองที่จัดขึ้น 1 วันก่อนหน้านั้น โดยที่ ปิง ในวัย 73 ปี ออกมาประกาศชัยชนะของตน โดยกล่าวต่อกลุ่มผู้สนับสนุนว่าตนเองเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากประชาชนให้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป และว่า ตนกำลังรอคอยให้ประธานาธิบดี อาลี บองโก ออนดิมบา ที่กำลังจะหมดอำนาจกล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะของตน
อย่างไรก็ดี เมื่อวันเสาร์ (27 ส.ค.) ทีมงานของประธานาธิบดี อาลี บองโก ออนดิมบา ได้ออกมาประกาศชัยชนะของฝ่ายตนหลังปิดหีบเลือกตั้งไม่นาน พร้อมกับกล่าวหาปิงที่เป็นผู้สมัครจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านว่า “โกงการเลือกตั้ง” และยืนยันว่าจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายรัฐบาล เพื่อคัดค้านผลการเลือกตั้งนี้ หากผลออกมาว่าปิงเป็นฝ่ายชนะ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี อาลี บองโก ออนดิมบา แห่งกาบอง ประกาศในวันที่ 9 ก.ค. ยืนยันจะลงสมัครรับเลือกตั้งชิงเก้าอี้ผู้นำกาบองต่ออีกสมัยในการเลือกตั้งวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยแรกเมื่อปี 2009 ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของ โอมาร์ บองโก ออนดิมบา บิดาของเขา ที่ปกครองประเทศนี้แบบผูกขาดฉายเดี่ยวมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967
ด้าน ฌ็อง ปิง ซึ่งมีบิดาเป็นชาวจีน มีดีกรีเคยเป็นถึงอดีตผู้นำขององค์การสหภาพแอฟริกา (เอยู) และยังถือเป็นนักการเมืองคนสำคัญในระบอบการปกครองของบิดาประธานาธิบดี อาลี บองโก ออนดิมบา ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ที่ผ่านมาปิงออกโรงกล่าวหาประธานาธิบดีบองโกว่า พยายามใช้ “วิธีสกปรก” ในการกำจัดเขาออกจากเส้นทางทางการเมือง ขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบันตอบโต้ว่าปิงพยายามปลุกปั่นสร้างความแตกแยกภายในประเทศ และหวังก่อสงครามกลางเมือง
ทั้งนี้ ในยุคการปกครองของประธานาธิบดีบองโก ผู้บิดา ที่เริ่มต้นจากเมื่อปี 1967 จนถึงการเสียชีวิตของเขาในปี 2009 นั้น มีการขุดพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในกาบอง ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในประเทศนี้พุ่งสูงขึ้นมากกว่าประชากรส่วนใหญ่ในประเทศแอฟริกาอื่นๆ ที่อยู่ตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราถึง 4 เท่าตัว แต่ถึงกระนั้นระบอบการปกครองของเขากลับถูกวิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ และไม่เป็นประชาธิปไตย