รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีของซีเรีย วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองอังกฤษอย่างรุนแรง จากการที่ปล่อยให้มีการโหวตแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) โดยระบุว่า เหล่าสมาชิกสภานิติบัญญัติที่วิจารณ์การจัดการกับสงครามกลางเมืองของเขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเองต่างหาก ที่ “ไม่อยู่กับความเป็นจริง”
ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ยังคงอยู่ในอำนาจตลอดช่วงสงครามกลางเมืองนาน 5 ปีของซีเรีย ในขณะที่เผชิญกับเสียงเรียกร้องให้ออกจากอำนาจจากมหาอำนาจตะวันตก รวมถึงอังกฤษ และกลุ่มติดอาวุธที่ต่อสู้เพื่อโค่นล้มเขา ตั้งแต่กองกำลังต่อต้านที่ตะวันตกหนุนหลังไปจนถึงกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
“เจ้าหน้าที่เหล่านั้นซึ่งเคยแนะนำผมเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับวิกฤตในซีเรีย และบอกว่า “อัสซาดต้องออกไป” และ “เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว” ทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขาต่างหากที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง” อัสซาด กล่าว
“ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่เรียกร้องการลงประชามตินี้ บางครั้งผมจะเรียกพวกเขาว่านักการเมืองชั้นสอง” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ SBS News ของออสเตรเลีย ในวันนี้ (1)
การโหวตออกจากอียูทำให้อังกฤษสูญเสียอันดับความน่าเชื่อ ส่งให้ค่าเงินปอนด์แตะระดับต่ำที่สุดต่อดอลลาร์นับตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และทำให้เม็ดเงินจากตลาดหุ้นทั่วโลกหายไป 3 ล้านล้านดอลลาร์
เหล่าผู้นำอียูกำลังพยายามหาทางป้องกันไม่ให้กลุ่มของพวกเขาที่ช่วยรับประกันความสงบสุขในยุโรปยุคหลังสงครามต้องแตกแยกไปมากกว่านี้
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจมีต่อซีเรีย อัสซาด กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษชุดใหม่อาจ “มีนโยบายที่ต่างจากเดิมซึ่งจะส่งผลดีต่อเรา แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้ไว้มาก”
รัฐบาลอังกฤษและตะวันตก กล่าวหาว่า อัสซาดและเหล่าผู้สนับสนุนกระทำเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อนในช่วงสงครามกลางเมือง ซึ่งคร่าชีวิตคนไปแล้วอย่างน้อย 250,000 คน ทำให้มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศกว่า 6.6 ล้านคน และบีบให้อีก 4.8 ล้านคน ต้องลี้ภัยซึ่งส่วนใหญ่เข้าไปยังยุโรป
ความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ลี้ภัยเข้าสู่อังกฤษเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ฝ่ายรณรงค์ออกยกมาอ้างในช่วงการรณรงค์ประชามติดังกล่าว
