เอเอฟพี - โรดริโก ดูเตอร์เต ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ในอีก 3 วันข้างหน้า ออกมาด่าทอพวกนักรณรงค์สิทธิมนุษยชนว่า “งี่เง่า” เมื่อวันจันทร์ (27 มิ.ย.) พร้อมกับแจกแจงอ้างความถูกต้องในการที่เขากำลังจะทำสงครามปราบปรามอาชญากรรม รวมทั้งระบุว่าการลงโทษประหารชีวิตก็เพื่อให้เกิดการล้างแค้นลงโทษเพื่อความยุติธรรม
ดูเตอร์เตกล่าวปราศรัยอย่างยาวเหยียดในเมืองดาเวา ที่เป็นเมืองเกิดของเขา โดยวาดภาพกว้างๆ เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับประเทศชาติ ซึ่งจะลงมือดำเนินการกันได้ในทันทีที่เขารับตำแหน่งวันพฤหัสบดี (1 ก.ค.) นี้ ทั้งนี้มีการโฟกัสให้น้ำหนักอย่างสูงแก่แผนการต่างๆ ในการปราบปรามกวาดล้างอาชญากรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ก่อให้เกิดการโต้แย้งถกเถียงกันอย่างมากมายกว้างขวาง
“พวก (กลุ่ม) สิทธิมนุษยชนพวกนี้, พวกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พวกคุณงี่เง่าขนาดไหนรู้ไหม” ดูเตอร์เตกล่าว ขณะที่เขาพูดถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านี้ต่อแผนการต่างๆ ของเขา เช่น การประกาศเคอร์ฟิวห้ามเด็กๆ ออกมาอยู่ในท้องถนนในเวลาดึกๆ และการนำบทลงโทษประหารชีวิตกลับมาใช้ใหม่
“ผมเชื่อในเรื่องการจองเวร เชื่อในเรื่องการลงโทษเพื่อความยุติธรรม ทำไมน่ะหรือ? คุณควรต้องชดใช้นะ เมื่อคุณฆ่าใครบางคน, ข่มขืน คุณก็ควรต้องตาย” เขากล่าว
ดูเตอร์เต ซึ่งปัจจุบันอายุ 71 ปี ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนที่แล้วโดยได้คะแนนเสียงชนะขาดลอย หลังจากทำการรณรงค์หาเสียงโดยที่ชูหลักนโยบายเรื่องจะยุติอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในฟิลิปปินส์ รวมทั้งเตือนว่าฟิลิปปินส์กำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะกลายเป็นรัฐยาเสพติด
เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะต้องมีผู้คนเป็นหมื่นๆ คนต้องตาย โดยที่กองกำลังความมั่นคงกำลังได้รับคำสั่งให้ยิงทิ้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร้ายแรง
นับตั้งแต่ที่ชนะการเลือกตั้ง ดูเตอร์เตยังได้ให้คำมั่นสัญญาจะจ่ายเงินรางวัลแก่ตำรวจที่สามารถฆ่าพวกค้ายาเสพติดได้ รวมทั้งสนับสนุนพลเมืองคนสามัญให้สังหารหรือจับกุมผู้ต้องสงสัยอีกด้วย
ดูเตอร์เตยังถูกกล่าวหาว่าพัวพันเกี่ยวข้องกับหน่วยล่าสังหารที่ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยคอยเข่นฆ่าพวกต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากร ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวาอยู่เกือบๆ 20 ปี โดยที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนระบุว่ามีผู้ถูกเข่นฆ่าสังหารไปกว่า 1,000 คน
กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับท้องถิ่นและที่อยู่ในต่างประเทศพากันแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อแผนการต่างๆ ที่เขาประกาศว่าจะนำมาใช้เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยกลัวว่าจะเกิดการเข่นฆ่าแบบศาลเตี้ยกันอย่างขนานใหญ่ทำนองเดียวกับที่ได้เห็นกันในเมืองดาเวา
ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เซอิด ราอัด อัล-ฮุนเซน ออกมาเรียกร้องต่อดูเตอร์เตในเดือนนี้ว่า อย่าได้นำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีก พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ส่วนประกอบอื่นๆ ในแผนการทำสงครามปราบปรามอาชญากรรมของเขาด้วย
“การเสนอให้สินบนและรางวัลอื่นๆ เพื่อตอบแทนการฆาตกรรมที่กระทำโดยพวกใช้อำนาจศาลเตี้ย และการที่เขาสนับสนุนให้กองกำลังความมั่นคงทำการเข่นฆ่าโดยใช้อำนาจนอกกระบวนการยุติธรรมนั้น คือการก้าวถอยไปข้างหลังอย่างมหาศาลและสร้างความเสียหายหนักหน่วง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงอย่างกว้างขวางและความวุ่นวายปั่นป่วน” เซอิดระบุ
ทว่าในขณะที่เหลืออีกเพียง 3 วันก่อนจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ดูเตอร์เตก็ยังคงยืนกรานในแนวความคิดของตนอย่างหนักแน่นมั่นคง
“ตอนที่พวกเขาบรรยายหรือพรรณนาลักษณะของการกระทำล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น พวกงี่เง่าเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนกับว่าไอ้คนที่คุณฆ่าน่ะมันเป็นนักบุญ ราวกับว่าพวกมันเป็นคนน่าสงสารหรือเป็นคนบริสุทธิ์” ดูเตอร์เตบอก
ว่าที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ระบุว่า พวกเอกอัครราชทูตของชาติยุโรปเป็นกลุ่มหนึ่งในบรรดาผู้แสดงความวิตกกังวลเรื่องการรื้อฟื้นโทษประหารชีวิตและการเข่นฆ่าลงโทษแบบใช้อำนาจศาลเตี้ย
ฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปเมื่อปี 2006 ภายหลังคริสตจักรคาทอลิกออกมาต่อต้านคัดค้านการลงโทษเช่นนี้อย่างดุเดือด ทั้งนี้ ชาวฟิลิปปินส์ถึงราว 80% นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก
ก่อนหน้านี้ดูเตอร์เตเคยพูดว่า เขานิยมให้ลงโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอมากกว่าการยิงเป้า เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้สิ้นเปลืองลูกกระสุน และก็เนื่องจากเขาเชื่อว่าการใช้เชือกรัดคอเพื่อทำให้กระดูกสันหลังหักนั้นเป็นการให้ความเมตตากรุณาแก่นักโทษมากกว่าการยิงเป้า