เอเจนซีส์ - มือปืนวัย 29 ปีที่ก่อเหตุกราดยิงไนต์คลับชาวสีม่วงในเมืองออร์แลนโด มลรัฐฟลอริดา จนมีคนตายไปถึง 50 ศพ บาดเจ็บกว่าครึ่งร้อย มีอาการ “ป่วยทางจิต” และอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย แต่มีความฝันอยากเป็น “ตำรวจ” อดีตภรรยาของเขาให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.)
ซิโตรา ยูซูฟี อดีตภรรยาของ โอมาร์ มาทีน หนุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟกานิสถานวัย 29 ปี ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นว่า เธอได้รับการ “ช่วยชีวิต” จากญาติๆ จนหลุดพ้นจากสามีเก่ามาได้ หลังแต่งงานอยู่กินกันได้เพียง 4 เดือนก็ต้องหย่าร้าง
เธอเล่าว่า มาทีนมีอาการป่วยทางจิตและอารมณ์ร้าย แต่ฝันที่จะเป็นตำรวจ และเคยทำงานเป็นการ์ดอยู่ในสังกัดบริษัท G4S ซึ่งเป็นบริษัทด้านการรักษาความปลอดภัยใหญ่ที่สุดในโลก
ตำรวจสหรัฐฯ อยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า เหตุกราดยิงครั้งนี้อาจได้แรงบันดาลใจมาจากกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) แต่ก็ยอมรับว่ายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า มาทีน ร่วมมือกับพวกนักรบหัวรุนแรง “โดยตรง”
ข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ระบุว่า มาทีน เป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวอัฟกานิสถาน และเกิดที่นิวยอร์ก ก่อนจะย้ายมาพำนักที่ฟลอริดา และเคยถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) เรียกตัวไปสอบปากคำมาแล้วถึง 2 ครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ญาติของมาทีน เปิดเผยกับสื่อในสหรัฐฯ ว่า เขาเคยมีภรรยาและลูกชายเล็กๆ 1 คน และไม่ใช่คนเคร่งศาสนาอะไรนัก แต่มีทัศนคติรังเกียจคนรักร่วมเพศ มีปัญหาทางจิต และเคยทำร้ายร่างกายอดีตภรรยาอยู่บ่อยๆ
มีร์ เซ็ดดีก บิดาของมาทีน เล่าว่า เมื่อไม่นานมานี้ลูกชายออกอาการไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อเห็นหนุ่มเกย์ 2 คนแสดงความรักกันบนถนนในไมอามี
“ตอนนั้นเราอยู่ริมอ่าวที่ไมอามี มีคนกำลังเล่นดนตรี... แล้วเขาก็เห็นชาย 2 คนยืนจูบกันต่อหน้าลูกเมียของเขา เขาโกรธมากทีเดียว” เซ็ดดีก ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี
ตัวบิดาของมาทีนจัดว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงพอสมควรในแวดวงการเมืองอัฟกานิสถาน และเคยจัดรายการโทรทัศน์แสดงแนวคิดแบบสุดโต่งด้วย
บริษัท G4S ซึ่งเป็นต้นสังกัดของมาทีน แถลงวานนี้ (12) ว่า พนักงานรายนี้เข้าทำงานกับบริษัทตั้งแต่ปี 2007 และผ่านขั้นตอนการตรวจสอบประวัติและความประพฤติเมื่อปี 2007 และ 2013 แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“มาทีน ได้ผ่านกระบวนการคัดกรองและตรวจสอบประวัติจากทางบริษัทตอนที่เข้าสมัครเข้าทำงานในปี 2007 และเราไม่พบสิ่งที่น่าเป็นกังวล” โฆษกหญิงของ G4S ระบุ
“เราได้สอบประวัติและพฤติกรรมของเขาซ้ำอีกครั้งในปี 2013 แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเช่นกัน”
เธอบอกด้วยว่า ทางบริษัทเพิ่งจะทราบเมื่อปี 2013 ว่า มาทีน เคยถูกเอฟบีไอเรียกตัวไปสอบสวน แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องจบไปแล้ว และบริษัทก็ไม่มีข้อมูลด้วยว่าชายคนนี้เคยพัวพันกิจกรรมก่อการร้าย หรือถูกเอฟบีไอตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่