เอเอฟพี - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบคนจีนหอบเงินหลายพันล้านดอลลาร์ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาเฉพาะในปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว และกลายเป็นผู้ซื้อต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในตลาดที่อยู่อาศัยเมืองลุงแซมแซงหน้าชาวแคนาดา สำหรับเหตุผลที่ซื้อหามีทั้งเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง ซื้อเพื่อย้ายไปอยู่อาศัย และซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ รวมถึงล่าสุดคือ เพื่อโยกย้ายเงินออกจากแดนมังกรเนื่องจากกังวลกับการอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินหยวน
รายงานผลการศึกษาของสมาคมเอเชีย (เอเชีย โซไซตี) และบริษัทที่ปรึกษา โรเซน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป ชิ้นนี้ระบุว่า การแห่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยและการพาณิชย์ของคนจีนเมื่อปีที่แล้ว ยังทำให้ยอดการลงทุนทางด้านนี้ของชาวจีนในระยะ 5 ปีแรกของทศวรรษนี้รวมกันเป็นกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์อเมริกาฟื้นตัว จากการล้มครืนที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2006 แล้วลุกลามต่อกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจเต็มขั้นในอีกสองปีต่อมา
ผลการศึกษาบอกด้วยว่า ถึงแม้การลงทุนกำลังอยู่ในอาการชะลอลงจากการที่ปักกิ่งออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลออก ทว่า ตัวเลขสำหรับครึ่งหลังของทศวรรษนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวเป็น 218,000 ล้านดอลลาร์
รายงานชี้ว่า สิ่งที่ทำให้การลงทุนของชาวจีนมีความแตกต่างและน่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ ปริมาณการลงทุนอันมหาศาล และขอบเขตซึ่งครอบคลุมทั่วถึงในอสังหาริมทรัพย์ทุกหมวดหมู่ โดยรวมทั้งการเข้าซื้อที่อยู่อาศัยอย่างชนิดที่ค่อนข้างไม่เหมือนใคร
ผู้จัดทำรายงานการศึกษาฉบับนี้สำทับว่า ตัวเลขที่พวกเขาหามาได้นี้ ซึ่งอิงอยู่กับข้อมูลสาธารณะและข้อมูลจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เผยแพร่ ยังน่าจะต่ำกว่ายอดรวมที่แท้จริง เนื่องจากไม่อาจหาตัวเลขซึ่งเป็นการซื้อของบริษัทบังหน้า ตลอดจนกองทุนทรัสต์ที่ไม่ระบุแหล่งที่มาของเงินทุน
ผลลัพธ์ก็คือ ถึงแม้เรื่องราวของดีลระดับบิ๊กๆ เช่น บริษัทประกันภัย “อันปัง” ของจีน เข้าซื้อโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ในนิวยอร์กด้วยราคา 2,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว ตลอดจนความล้มเหลวของอันปังที่เสนอซื้อกลุ่มสตาร์วูด ด้วยราคา 14,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้รับการเผยแพร่เป็นข่าวใหญ่โต แต่จริงๆ แล้วชาวจีนกว้านซื้อบ้านในอเมริกามากกว่าอาคารและที่ดินเพื่อการพาณิชย์ตั้งหลายเท่าตัว รายงานฉบับนี้ระบุ
ทั้งนี้ ระหว่างปี 2010-2015 ผู้ซื้อจีนอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์แดนอินทรี โดยครึ่งหนึ่งนั้นเกิดขึ้นในปีที่แล้วเพียงปีเดียว
ทว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีเม็ดเงินอย่างน้อย 93,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่ตลาดที่พักอาศัยอเมริกา โดยที่ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2015 ซึ่งเป็นช่วงล่าสุดที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างครอบคลุมได้นั้น คนจีนเข้าซื้อบ้านพักอาศัยในสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 28,500 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขดังกล่าวส่งให้ผู้ซื้อชาวจีนแซงหน้าผู้ซื้อชาวแคนาดา ที่เคยเป็นผู้ซื้อต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในตลาดที่พักอาศัยอเมริกา
รายงานแจงว่า ผู้ซื้อจีนกระจุกตัวอยู่ในตลาดที่ราคาแพงที่สุด คือ นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก และซีแอตเติล ซึ่งตีความได้ว่าผู้ซื้อจีนควักเงินจ่ายในราคาสูงกว่าราคาบ้านเฉลี่ยในอเมริกา ทั้งนี้ ปีที่แล้วผู้ซื้อชาวจีนจ่ายเงินเฉลี่ยประมาณ 832,000 ดอลลาร์ต่อบ้านหนึ่งหลังในสหรัฐฯ เทียบกับราคาเฉลี่ยสำหรับการซื้อของผู้ซื้อต่างชาติทั้งหมดจะอยู่ที่ 499,600 ดอลลาร์
แรงจูงใจที่ทำให้คนจีนซื้อบ้านในอเมริกานั้นมีอยู่มากมาย เช่น บางคนอาจซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง บ้างซื้อเพราะย้ายไปอยู่อเมริกาโดยใช้วีซ่านักลงทุน อีบี-5 และบางคนซื้อเพื่อนำไปให้เช่าหรือขายต่อ
รายงานการศึกษายังชี้ว่า เม็ดเงินส่วนใหญ่ที่ชาวจีนนำเข้ามาในตลาดที่พักอาศัยอเมริกานั้นมาจากความมั่งคั่งส่วนตัว ไม่ใช่ภาคธุรกิจ
“ความคุ้นเคยในการใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการลงทุนและในการรักษาความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ปรากฏแพร่หลายมากในจีน และสะท้อนความรู้สึกสะดวกใจในการซื้อบ้านหลังที่สองในอเมริกาของคนจีนและครอบครัวคนจีน”
นอกจากนั้น นับจากปีที่ผ่านมายังมีแรงจูงใจในการโยกย้ายเงินออกนอกแดนมังกรและนำไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการอ่อนตัวต่อเนื่องของเงินหยวนที่ถูกลดค่าลงเล็กน้อยในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
รายงานคาดหมายว่า บริษัทจีนยังจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในอเมริกาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา กลุ่มกิจการเอชเอ็นเอของจีนประกาศต้องการซื้อกลุ่มกิจการโรงแรมคาร์ลสัน ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์เรดิสัน
รายงานทิ้งท้ายว่า อันปังไม่ใช่บริษัทจีนเพียงแห่งเดียวที่สนใจสตาร์วูด แต่ยังมีจินเจียง โฮเต็ล กรุ๊ป ที่เพิ่งซื้อเชนโรงแรมในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว และ ซีไอซี ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ที่เล็งสตาร์วูดตั้งแต่ปีที่แล้ว ก่อนที่มาร์ริออตต์จะกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ทำข้อตกลงเบื้องต้นกับกลุ่มนี้ได้