เอเอฟพี / เอพี /เอเจนซีส์ / MGR online – กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ ระบุในวันเสาร์ (14 พ.ค.) ชี้ แม่ทัพใหญ่ “มุสตาฟา บัดเรดดีน” ถูกสังหารโดยกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งของพวกมุสลิมนิกายสุหนี่ในซีเรีย แต่ไม่ยืนยันเป็นฝีมือของกลุ่ม “ไอเอส” หรือไม่ พร้อมย้ำนักรบชีอะห์จากเลบานอนจะยังคงเดินหน้าต่อสู้ในสงครามกลางเมืองซีเรียต่อไปเพื่อปกป้องระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
ก่อนหน้านี้กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์แห่งเลบานอน ยืนยันในวันศุกร์ (13 พ.ค.) มุสตาฟา บัดเรดดีน แม่ทัพระดับสูงของตน ซึ่งดูแลปฏิบัติการทางทหารของกลุ่มฯในซีเรียได้เสียชีวิตแล้ว จากเหตุระเบิดในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของกลุ่มติดอาวุธชีอะห์กลุ่มนี้ ที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของรัฐบาลซีเรีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
บัดเรดดีนในวัย 55 ปี ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำเป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นที่ต้องการตัวของทางการอิสราเอล มีบทบาทสำคัญ ในการกำหนดยุทธศาสตร์การสู้รบของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จากเลบานอน ในสงครามกลางเมืองซีเรีย ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011
คำแถลงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ระบุว่า นอกเหนือจากการเสียชีวิตของแม่ทัพใหญ่อย่างบัดเรดดีนแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย จากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นใกล้กับสนามบินนานาชาติกรุงดามัสกัส ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (12) ที่ผ่านมา
ด้านสถานีโทรทัศน์อัล-มายาดีน ทีวี ซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงเบรุต และเป็นสื่อที่มีความใกล้ชิดกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รายงานก่อนหน้านี้ว่า บัดเรดดีนเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่ในเวลาต่อมา ทางสถานีได้ถอดรายงานข่าวชิ้นดังกล่าวออกไป
การเสียชีวิตของบัดเรดดีน ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มคนก่อนหน้านี้อย่างอิมาด มุกห์นิเยห์ ถูกลอบสังหารด้วยระเบิดในกรุงดามัสกัสของซีเรียเช่นเดียวกัน
นอกเหนือจากการทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แล้ว แหล่งข่าววงในยังเผยว่า บัดเรดดีนยังได้รับความไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาใกล้ชิดของ ซัยเอ็ด ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำสูงสุดของกลุ่มอีกด้วย
ทั้งนี้ มีการยืนยันว่า พิธีฝังศพของบัดเรดดีน ได้จัดขึ้นภายในช่วงบ่ายของวันศุกร์ (13) ที่สุสานชาวมุสลิมนิกายชีอะห์แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงเบรุต โดยที่ร่างของเขาจะถูกฝังไว้ถัดจากร่างของมุกห์นิเยห์ ซึ่งมีสถานะเป็นพี่เขยของเขาด้วยเช่นกัน
บัดเรดดีนเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดสถานทูตสหรัฐฯและ ฝรั่งเศสในคูเวตเมื่อปี 1983 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย โดยเขาถูกจับกุมได้ในคูเวตและถูกตัดสินให้รอการประหารชีวิต แต่เขาสามารถหลบหนีออกจากเรือนจำได้ในปี 1990 หลังจากที่ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนแห่งอิรัก ส่งกองทัพบุกคูเวตในปีดังกล่าว