เอเจนซีส์ - ชาวเกาหลีเหนือนับหมื่นร่วมขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ที่กรุงเปียงยาง ในวาระการปิดประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นผู้ปกครองประเทศ และฉลองการขึ้นสู่อำนาจอย่างเป็นทางการของคิม จองอึน ในตำแหน่งประธานพรรค ด้านทำเนียบขาวบอกรอดูการกระทำจริงๆ ของเปียงยางมากกว่าคำพูด ขณะที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุโสมแดงไม่ได้แสดงท่าทีต้องการปรับสัมพันธ์ มิหนำซ้ำยังประกาศเดินหน้าป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ด้วยซ้ำ
คิมเป็นประธานเฝ้าชมขบวนพาเหรดซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (10 พ.ค.) จากระเบียงที่มองลงไปเห็นจัตุรัสคิม อิลซุง ที่ซึ่งประชาชนนับหมื่นโบกช่อดอกไม้ประดิษฐ์เหนือศีรษะทันที่ผู้นำสูงสุดผู้นี้เดินทางถึง
ปกติแล้ว เกาหลีเหนือจัดพิธีสวนสนามทางทหารบ่อยครั้งเพื่อฉลองวันสำคัญและโชว์ยุทโธปกรณ์ใหม่สุด สำหรับพิธีคราวนี้แม้เป็นกิจกรรมของพลเรือน แต่ยังตอกย้ำธีมทางทหาร เช่น การโชว์แบบจำลองเครื่องยิงจรวดและขีปนาวุธที่ทำจากกระดาษแข็ง
ทั้งนี้ ขบวนพาเหรดนาน 2 ชั่วโมง เริ่มต้นขึ้นด้วยการปราศรัยนาน 30 นาที ของคิม ยองนัม ประธานรัฐสภาเกาหลีเหนือ ซึ่งมีฐานะเป็นประมุขของรัฐ แต่เห็นกันว่าเขาไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงอะไร
สำหรับการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีคราวนี้ เสร็จสิ้นลงเมื่อวันจันทร์ (9) โดยเป็นสมัชชาครั้งแรกนับจากปี 1980 หรือก่อนคิม จองอึน เกิดเสียอีก
ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยผู้แทนกว่า 3,400 คนของบรรดาสมาชิกพรรค ได้รับรองอย่างเป็นทางการในนโยบาย “บยองจิน” ที่เสนอโดยคิม จองอึน ซึ่งกำหนดให้โสมแดงสร้างคลังนิวเคลียร์ที่ทรงประสิทธิภาพ พร้อมๆ กับที่ทำการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งนี้เห็นกันว่านี่เป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากนโยบาย “ซองกุน” หรือ ทหารมาเป็นอันดับแรก ของคิม จองอิล บิดาของเขา
นอกจากนั้น สมัชชาคราวนี้ยังมีมติมอบตำแหน่งใหม่ คือ ประธานพรรค ให้แก่ผู้นำวัย 33 ปีผู้นี้ โดยที่ก่อนหน้านี้ คิม จองอึน มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของพรรค
ระหว่างการประชุมสมัชชา คิมประกาศว่า เกาหลีเหนือจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ เว้นแต่ถูกละเมิดอธิปไตย และยังแสดงทีท่าว่า ยินดีร่วมมือกับประเทศที่เคยเป็นปรปักษ์ หากประเทศเหล่านั้นปรารถนา
การจัดประชุมสมัชชาพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่คิม จองอิล ไม่เคยทำนั้น แสดงให้เห็นว่า คิมหนุ่มอาจเป็นผู้นำในสไตล์ใกล้เคียงกับคิม อิลซุง ปู่และผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือมากกว่า โดยคิม อิลซุงนั้นปกครองประเทศผ่านหน่วยงานต่างๆ ภายในพรรคและองค์กรภาครัฐบาล ขณะที่คิม จองอิลนิยมใช้เครือข่ายบุคคลที่ไว้ใจได้ของตนเอง ในการดำเนินการต่างๆ
ทางด้าน วิกเตอร์ ชา ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือของศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา ที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านนโยบายเอเชียของทำเนียบขาวภายใต้ยุคอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ชี้ว่า เป้าหมายหลักของสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์โสมแดงคราวนี้ คือการแต่งตั้งคิมเป็นผู้นำ “สำหรับช่วง 50 ปีข้างหน้า” ด้วยการมอบตำแหน่งประธานพรรคให้
ชาเสริมว่า เกาหลีเหนือพยายามทำทุกทางเพื่อให้คิมดูเหมือนปู่ของเขา ทั้งการสวมแว่นและทรงผม เพื่อสื่อถึงยุคของคิม อิลซุง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับเกาหลีเหนือ
ขณะที่ อีแวนส์ รีเวียร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและอดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มองว่า การประชุมสมัชชาพรรคคราวนี้เป็นการส่งสาส์นสำคัญสองข้อๆ แรกคือ เพื่อบอกว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีอยู่ในมือคิมหนุ่มเรียบร้อยแล้ว และข้อสองคือ การประกาศต่อโลกว่า อาวุธนิวเคลียร์จะเป็นองค์ประกอบถาวรในแนวทางความมั่นคงของเกาหลีเหนือ โดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องของนานาชาติให้เปียงยางยึดมั่นพันธะสัญญาในการเจรจา 6 ฝ่ายเมื่อปี 2005 เพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์
ทั้งรีเวียร์และชาเห็นพ้องว่า การที่เกาหลีเหนือประกาศว่า จะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ เว้นแต่ถูกละเมิดอธิปไตยนั้น เป็นเพียงการแสวงหาความชอบธรรมในฐานะประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง
ชายังบอกอีกว่า ปัญหาสำหรับผู้วางนโยบายของอเมริกาคือ การที่ไม่ระบุชัดเจนเท่ากับว่าเปียงยางจะไม่ยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้วอชิงตันไม่แน่ใจว่า ควรเจรจาเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ หรือหาทางระงับและปิดกั้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์โสมแดง
ด้านริเวียร์สำทับว่า อุปสรรคใหญ่คือการเชื่อคำพูดของประเทศที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างเกาหลีเหนือ ซึ่งบ่อยครั้งไม่รักษาสัตย์
สำหรับ จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า วอชิงตันให้ความสำคัญกับการกระทำจริงๆ ของเกาหลีเหนือมากกว่าคำพูด โดยบอกว่า อเมริกาและนานาชาติพร้อมเข้าสู่การเจรจาและเริ่มต้นกระบวนการเปิดรับเกาหลีเหนือสู่ชุมชนนานาชาติ หากเกาหลีเหนือแสดงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
ทางด้านประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ของเกาหลีใต้ ที่ยืนยันว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์เปียงยางเป็นทางเดียวในการฟื้นการเจรจานั้น วิจารณ์ว่าสมัชชาพรรคคราวนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสำหรับเกาหลีเหนือ
ผู้นำโสมขาวทิ้งท้ายว่า เปียงยางไม่แสดงความจริงใจในการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับโซล แต่กลับประกาศเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ รวมทั้งประกาศตัวเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ
