xs
xsm
sm
md
lg

เกาหลีเหนือบอกยินดีปรองดอง แต่ถ้าโสมขาว “เลือกสงคราม” ก็จะกำจัดทิ้งอย่างไร้ปรานี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<i>ภาพถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ (8 พ.ค.) และเผยแพร่ในวันจันทร์ (9) โดยสำนักข่าวของทางการเกาหลีเหนือ แสดงให้เห็นว่า ผู้นำ คิม จองอึน กล่าวปราศรัยรายงานสถานการณ์และความก้าวหน้าของประเทศ ณ การประชุมวันที่ 3 ของสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ </i>
เอพี/MGRออนไลน์ - พรรคคอมมิวนิสต์ผู้ปกครองเกาหลีเหนือรับรองญัตติฉบับหนึ่งในวันที่ 3 ของการประชุมสมัชชาเต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 36 ปีของตน โดยมีเนื้อหาระบุว่าจะพากเพียรพยายามก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นและมีความเป็นสมัยใหม่ยิ่งขึ้น พร้อมกับเน้นว่าเปียงยางจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดการรวมชาติอย่างสันติ แต่ก็เตือนด้วยว่า หากโซล “เลือกที่จะทำสงคราม” กองทัพโสมแดงก็จะกำจัดกวาดล้างศัตรูทั้งหลายทั้งปวงอย่างไร้ความปรานี

ญัตติฉบับดังกล่าวผ่านการรับรองของสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ไปตั้งแต่วันอาทิตย์ (8 พ.ค.) ทว่าพวกนักหนังสือพิมพ์ชาวต่างชาติซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศเพื่อทำข่าวเหตุการณ์ทางการเมืองใหญ่ที่สุดในแดนโสมแดงในรอบหลายสิบปีคราวนี้กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในอาคารที่จัดการประชุมเพื่อติดตามชมกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และยังคงต้องพึ่งพาอาศัยสื่อของทางการเกาหลีเหนือซึ่งรายงานเหตุการณ์ภายหลังจากผ่านพ้นไปแล้วหลายชั่วโมง หรือกระทั่งเพิ่งมารายงานในวันรุ่งขึ้น

รายงานข่าวของสำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) อันเป็นสำนักข่าวของทางการโสมแดง เมื่อวันจันทร์ (9) ระบุว่า สมัชชาพรรคกำลังย่างเข้าสู่การประชุมวันที่ 4 ภายหลังรับฟังคำปราศรัยเป็นเวลา 3 ชั่วโมงของผู้นำ คิม จองอึน เมื่อวันก่อนหน้า โดยที่เนื้อหาของคำปราศรัยมุ่งทบทวนสรุปถึงสถานการณ์และความก้าวหน้าของประเทศ นับตั้งแต่จัดการประชุมสมัชชาครั้งที่แล้วในปี 1980 หรือก่อนที่คิมจะเกิดเสียอีก

ในคำปราศรัยนี้ คิมประกาศแผนเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ซึ่งถือเป็นแผน 5 ปีฉบับแรกที่มีการแจ้งต่อสาธารณชนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อตอนที่ คิม อิลซุง คุณปู่ของเขาที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ และได้รับตำแหน่ง “ประธานาธิบดีตลอดกาล” ยังคงอยู่ในอำนาจ

ผู้นำคิมหนุ่ม ซึ่งระบุไว้ในคำปราศรัยนี้ว่า เกาหลีเหนือเป็นรัฐนิวเคลียร์ที่มีความรับผิดชอบ โดยจะไม่เป็นฝ่ายใช้อาวุธนิวเคลียร์ของตนก่อน เว้นเสียแต่อธิปไตยของตนถูกคุกคามเท่านั้น ยังได้เน้นย้ำจุดโฟกัสทางนโยบาย 2 ด้านของเขา อันได้แก่การเดินหน้าสะสมแสนยานุภาพทางทหาร ขณะที่พยายามเดินเครื่องเศรษฐกิจของโสมแดงไปด้วย ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์เห็นกันว่าเศรษฐกิจเกาหลีเหนือมีการเติบโตอยู่บางระดับในระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ ถึงแม้ยังคงไร้กำลังวังชาเพราะถูกนานาชาติลงโทษคว่ำบาตรสืบเนื่องจากโครงการนิวเคลียร์ของเปียงยาง

ในความพยายามที่จะหาจุดสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่าง 2 ด้านนี้ คิมระบุในคำปราศรัยว่า เกาหลีเหนือปรารถนาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตร แม้กระทั่งกับพวกประเทศที่ในอดีตเคยแสดงตัวเป็นปรปักษ์กับโสมแดง ทั้งนี้เห็นกันว่าคำพูดเช่นนี้น่าเป็นการมุ่งเกริ่นนำทักทายสหรัฐฯ
<i>ภาพอาคาร “ศาลาวัฒนธรรม 25 เมษายน” ในกรุงเปียงยาง ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ </i>
ทว่าเขาก็พูดระบุชัดเจนว่า เกาหลีเหนือไม่มีเจตนารมณ์ที่จะยอมยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือยอมอ่อนข้อให้แก่แรงกดดันของนานาชาติซึ่งมุ่งหมายที่จะบังคับให้ระบอบปกครองของโสมแดงต้องเสื่อมโทรมหรือกระทั่งพินาศลงไป

คิมกล่าวว่า เกาหลีเหนือ “จะเติมเต็มหน้าที่ต่างๆ ของตนอย่างจริงใจ ในเรื่องการไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ และในการทำงานเพื่อให้กระบวนการเลิกใช้อาวุธนิวเคลียร์ของทั่วโลกกลายเป็นความจริงขึ้นมา” แต่ทั้งนี้ประเทศอื่นๆ ก็จะต้องยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน เห็นกันว่าคำพูดในตอนนี้ของผู้นำคิมเป็นการมุ่งชี้มาที่อเมริกาอีกเช่นกัน และดังนั้นจึงเป็นภาพสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาจริงๆ ได้

การประชุมสมัชชาคราวนี้เป็นเหมือนกับพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการของคิม จองอึน ซึ่งในทางเป็นจริงได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกาหลีเหนือนับแต่ คิม จองอิล บิดาของเขาถึงแก่อสัญกรรมในปี 2011

แต่เวลาเดียวกันก็เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าเขามีทิศทางที่จะมุ่งทำงานผ่านพรรคคอมมิวนิสต์และองค์กรอย่างเป็นทางการของภาครัฐบาลเกาหลีเหนือเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่เขาต้องการ แตกต่างไปจาก คิม จองอิล ซึ่งไม่เคยเรียกประชุมสมัชชาพรรคเลย แต่นิยมทำงานผ่านทางเครือข่ายคนสนิทไว้วางใจของเขาเองในการกระทำเรื่องต่างๆ

เกี่ยวกับเกาหลีใต้ คิม จองอึน ย้ำในคำปราศรัยคราวนี้ของเขาว่า จำเป็นที่จะต้องพบปะเจรจากันเพื่อผ่อนคลายความเกลียดชังเป็นอริระหว่างสองเกาหลี และย้ำถึงการรวมชาติโดยให้อยู่ภายใต้ระบบสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ประกาศออกมาหลายสิบปีแล้ว โดยมุ่งที่จะรักษาระบอบปกครองของเกาหลีเหนือให้อยู่คงเดิมเป็นส่วนใหญ่ และก็เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้รับการต้อนรับอะไรจากฝ่ายโซล

“แต่ถ้าทางการเกาหลีใต้เลือกที่จะทำสงครามกัน ด้วยการยืนกรานในเรื่อง 'การรวมระบบสังคมต่างๆ เข้าเป็นเอกภาพ' อันไร้เหตุผลต่อไปแล้ว เราก็จะหันไปใช้สงครามอันเป็นธรรม เพื่อกำจัดกวาดล้างกลุ่มพลังที่ต่อต้านการรวมชาติอย่างไร้ความปรานี และบรรลุอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์แห่งการรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นความปรารถนาที่มีมายาวนานของชาวเกาหลีทั้งมวล” เขากล่าว
<i>พวกนักหนังสือพิมพ์ต่างชาติซึ่งจนถึงวันอาทิตย์ (8 พ.ค.) ยังไม่มีโอกาสย่างกรายเข้าอาคารที่จัดการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ต้องรอชมจากการแพร่ภาพทางทีวีของทางการ ณ ห้องสื่อมวลชน ของโรงแรมยางกัคโด กรุงเปียงยาง </i>
ทางด้านกระทรวงการรวมชาติของเกาหลีใต้ออกมาแถลงในวันจันทร์ (9) บอกปัดข้อเสนอให้พบปะเจรจากันของคิม โดยระบุว่าเป็นเพียง “การโฆษณาชวนเชื่อ” ที่ปราศจากความจริงใจ โฆษกของกระทรวง เจือง จูนฮี บอกกับผู้สื่อข่าวว่า การเจรจาจะฟื้นคืนมาได้ใหม่ต่อเมื่อเกาหลีเหนือสาธิตให้เห็นว่ามีความจริงใจขนาดไหนในเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาเอง

ถึงแม้เกาหลีเหนือดูเหมือนกำลังสร้างความก้าวหน้าอย่างสำคัญทีเดียวในการพัฒนาสิ่งที่เปียงยางเรียกว่าเป็น “การป้องปรามทางนิวเคลียร์” ทว่าเศรษฐกิจของโสมแดงกลับยังเพิ่งกำลังโงหัวขึ้นมา จากการพังครืนของสหภาพโซเวียตและเหล่าพันธมิตรค่ายยุโรปตะวันออกที่เคยให้ความช่วยเหลือจุนเจือ ตลอดจนจากภาวะอดอยากครั้งมโหฬารของเกาหลีเหนือในช่วงทศวรรษ 1990 ปัจจุบันโสมแดงต้องอาศัยพึ่งพาการค้าที่กระทำกับจีนมากเหลือเกิน และตกเป็นฝ่ายถูกทิ้งล้าหลังปรปักษ์ทางใต้ของตนเองอยู่หลายปีแสง

คำปราศรัยของคิมเองได้ระบุอาณาบริเวณทางเศรษฐกิจที่สำคัญจำนวนหนึ่ง เป็นต้นว่า การจ่ายไฟฟ้า, เกษตรกรรม และการผลิตทางด้านอุตสาหกรรมเบา ว่าเป็นด้านที่สำคัญยิ่งยวดของแผนการ 5 ปีของเขา คิมยังย้ำว่าเกาหลีเหนือจำเป็นต้องเพิ่มการค้าระหว่างประเทศและการเข้ามีปฏิสัมพันธ์ในเศรษฐกิจโลก ทว่าก็ไม่ได้ประกาศการปฏิรูปหรือแผนการอันสำคัญใดๆ ในเรื่องการยอมรับนำเอากระบวนการแปรสู่ตลาดเสรีในสไตล์ทุนนิยมเข้ามาใช้งาน

แต่การให้รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างเปิดเผยต่อสาธารณชนเช่นนี้ก็สาธิตให้เห็นว่าคิมกำลังแสดงตัวเป็นเจ้าของปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่บิดาของเขาหลีกเลี่ยงเรื่อยมาเมื่อขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้นำเกาหลีเหนือแล้ว

คิมหนุ่มให้สัญญาที่จะปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ และการที่สมัชชาคราวนี้เน้นจุดโฟกัสไปที่เรื่องเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงเรื่องนี้อยู่ในตัว กระนั้นคำปราศรัยของเขายังคงมีการใช้ถ้อยคำในลักษณะอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน กล่าวคือไม่ได้ให้ร่องรอยใดๆ ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงระดับรากฐาน ในเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเศรษฐกิจ ที่เวลานี้รัฐยังคงเป็นผู้ควบคุมดำเนินการอยู่

อันที่จริงแล้วธุรกิจในสไตล์พึ่งพาตลาดได้กลายเป็นของสามัญที่สามารถพบเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในเกาหลีเหนือ โดยที่สำคัญเนื่องมาจากการที่โสมแดงเผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจและภัยอดอยากในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่รัฐบาลจะสามารถทำตัวเป็นผู้ดูแลจัดหาสิ่งจำเป็นต่างๆ มาให้แก่พลเมืองของตน สภาวการณ์เช่นนี้จึงบังคับให้ผู้คนจำนวนมากต้องเรียนรู้ถึงวิธีดูแลตัวเอง
<i>ตำรวจยืนอยู่หน้าขบวนรถยนต์ซึ่งติดแผ่นป้ายนำหน้าด้วยหมายเลข 727  ที่สงวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุด  บริเวณด้านนอกของอาคารที่จัดการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ เมื่อวันอาทิตย์ (8 พ.ค.) </i>
แต่ในขณะที่ความเป็นจริงในภาคสนามได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบก็ยังคงลังเลรีรอที่จะยอมรับการปฏิรูปสำคัญต่างๆ ให้กลายเป็นนโยบายแห่งรัฐอย่างเป็นทางการ

ถึงกระนั้น เกาหลีเหนือก็ได้ยินยอมให้พวกวิสาหกิจเอกชนมีอำนาจในการบริหารจัดการด้วยตนเองเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้มีประสิทธิผลสูงยิ่งขึ้น

เรื่องนี้ยังทำให้พวกคนงานที่มีผลงานดีเด่นได้รับเงินเดือนค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น และในบางระดับก็ทำให้ฟาร์มเกษตรกรรมบางแห่งมีผลผลิตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟาร์มซึ่งมีการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อให้เกษตรกรผลิตมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเพิ่มส่วนที่พวกเขาสามารถเก็บเอาไว้เองภายหลังส่งมอบผลิตผลตามโควตาที่รัฐบาลกำหนดแล้ว ทั้งนี้พวกเขาสามารถนำผลผลิตส่วนเกินเหล่านี้ไปขายหากำไรในตลาดต่อไป

วาระที่ยังเหลืออยู่ของสมัชชาคราวนี้ ซึ่งเป็นการชุมนุมกันของผู้แทนจำนวนกว่า 3,400 คน ณ ศาลาวัฒนธรรม 25 เมษายน (April 25 House of Culture) อันโอ่อ่าหรูหราในกรุงเปียงยาง ก็คือการเลือกตั้งที่จะทำให้คิมได้รับตำแหน่งสูงสุดของพรรค โดยที่เวลานี้เขามีตำแหน่งเป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของพรรคอยู่แล้ว ขณะที่บิดาของเขาก็ได้รับการแต่งตั้งย้อนหลังให้ดำรงตำแหน่งเป็น “เลขาธิการใหญ่ตลอดกาล” เวลาเดียวกันนั้นก็ยังจะมีการจัดสรรตำแหน่งอื่นๆ ในคณะผู้นำของพรรคด้วย

ถึงแม้ยังไม่มีการประกาศวันเวลาแน่นอน และเซอร์ไพรส์ยังคงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ก็คาดหมายกันว่าสมัชชานี้จะดำเนินไปอีกสองสามวัน

สำหรับการปิดประชุมสมัชชา น่าที่จะมีการจัดชุมนุมมวลชนอย่างเอิกเกริกภายใต้บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง

กำลังโหลดความคิดเห็น