เอเอฟพี - ความพ่ายแพ้และการสูญเสียดินแดนไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) มีรายได้ลดลงถึง 30% จากช่วงปีที่แล้ว และต้องหันมาใช้วิธีขูดรีดภาษีแบบใหม่ๆ ไม่เว้นแม้แต่เก็บค่าจ้างซ่อมจานดาวเทียม สถาบันวิจัยไอเอชเอสเผยวันนี้ (18 เม.ย.)
“เมื่อกลางปี 2015 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของไอเอสอยู่ที่ราวๆ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” ลูโดวิโก การ์ลิโน นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันไอเอชเอส ซึ่งนำเสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนที่ไอเอสยึดครองอยู่เป็นระยะๆ กล่าว
“ล่าสุดเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา รายได้ต่อเดือนของไอเอสลดลงเหลือแค่ 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”
รายงานของไอเอชเอสระบุด้วยว่า พื้นที่ยึดครองของไอเอสผลิตน้ำมันดิบได้น้อยลง จากระดับ 33,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงมาเหลือเพียง 21,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งสาเหตุสำคัญก็เนื่องมาจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง ทั้งจากฝ่ายพันธมิตรสหรัฐฯ และรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ไอเอชเอสเตือนว่า กำลังผลิตที่ลดลงเป็นแค่ “ปัญหาชั่วคราว” เท่านั้น และนักรบญิฮาดอาจซ่อมแซมโครงสร้างการผลิตน้ำมันให้กลับมาดีดังเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า รายได้ 50% ของไอเอสมาจากการเรียกเก็บภาษีและยึดทรัพย์สินของประชาชน, 43% มาจากการขายน้ำมัน ส่วนที่เหลือได้จากการค้ายาเสพติด การขายไฟฟ้า และเงินบริจาค
“กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในภูมิภาค แต่รายได้ที่ลดลงก็ถือว่ามีนัยยะสำคัญ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมบริหารดินแดนที่ยึดไว้ได้ในระยะยาว” การ์ลิโน กล่าว
นักรบไอเอสสูญเสียดินแดนไป 22% ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตอิทธิพลของพวกเขาก็ลดลงจาก 9 ล้านคน เหลือแค่เพียง 6 ล้านคน และนั่นก็หมายความว่า รายได้จากการขูดรีดภาษีก็จะลดลงตามไปด้วย
“งานวิจัยของเราพบว่า กลุ่มรัฐอิสลามเริ่มเก็บภาษีเพิ่มจากสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และยังหาวิธีการใหม่ๆ มารีดไถเงินจากพลเรือน”
“ภาษีต่างๆ ที่มีการเรียกเก็บก็เช่น ค่าจ้างคนขับรถบรรทุก ค่าธรรมเนียมสำหรับใครก็ตามที่จะติดตั้งหรือซ่อมแซมจานดาวเทียม และค่าธรรมเนียมขาออก (exit fees) สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางออกจากเมือง” การ์ลิโน ระบุ
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งปรับเงินผู้ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาในพระคัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ หรือให้ผู้ที่กระทำความผิดจ่ายเงินสดแทนการถูกลงโทษทางกายตามหลักกฎหมายอิสลาม ไอเอชเอส ระบุ
สงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2011 คร่าชีวิตชาวซีเรียไปแล้วว่า 270,000 คน และยังทำให้ประชากรราวครึ่งประเทศต้องพลัดถิ่นฐาน