เอเอฟพี - ประธานาธิบดีดิลมา รุสเซฟฟ์ แห่งบราซิล ออกมากล่าวหารองประธานาธิบดีว่าอยู่เบื้องหลังแผน “รัฐประหาร” ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมลงมติโหวตถอดถอนเธอออกจากเก้าอี้ผู้นำแดนแซมบ้าในวันอาทิตย์นี้ (17 เม.ย.)
รุสเซฟฟ์ วัย 68 ปี แถลงวานนี้ (12) ว่า “ถ้าใครยังสงสัยเรื่องที่ดิฉันพูดว่ามีการวางแผนโค่นรัฐบาลอยู่ละก็... คงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว”
เมื่อวันจันทร์ (11) ได้มีการเผยแพร่ “คลิปเสียง” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเสียงของรองประธานาธิบดีมิเชล ทีเมอร์ ที่กำลังซ้อมกล่าวสุนทรพจน์ล่วงหน้า ในกรณีที่รุสเซฟฟ์ถูกรัฐสภาถอดถอน
“พวกที่สมรู้ร่วมคิดถูกกระชากหน้ากากออกมาแล้ว” รุสเซฟฟ์ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงบราซิเลีย
“บ้านเมืองเรากำลังเกิดสถานการณ์ที่แปลกประหลาดและน่าเป็นห่วง มันคือเวลาแห่งการก่อรัฐประหาร การเสแสร้ง และการทรยศต่อความไว้วางใจ”
เมื่อวันจันทร์ (11) คณะกรรมการรัฐสภาบราซิล 65 คนได้ลงคะแนนโหวต 38 ต่อ 27 เสียงสนับสนุนให้ขับรุสเซฟฟ์ออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศ โดยกล่าวหาว่าเธอใช้อำนาจตกแต่งบัญชีอย่างผิดกฎหมายเพื่อปกปิดสถานะการคลังที่ย่ำแย่ของรัฐบาล ในช่วงที่ลงสมัครรับเลือกตั้งรอบสองในปี 2014
ทีเมอร์ วัย 75 ปีซึ่งจะก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีแทนในกรณีที่รุสเซฟฟ์ถูกโหวตถอดถอน ยืนยันว่ามีผู้ที่คิดจะบ่อนทำลายตน ทั้งในเรื่องส่วนตัวและหน้าที่การงาน
“ผมไม่ได้คิดจะทำสงครามกับใคร ผมแค่ปกป้องตัวผมเองเท่านั้น” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวโกลโบนิวส์
อย่างไรก็ดี ทีเมอร์ประกาศชัดเจนว่าตนมีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะขึ้นมาแทนที่รุสเซฟฟ์ได้
“หากจะพูดกันอย่างไม่เสแสร้ง และไม่โอ้อวดจนเกินไปนัก ผมเองก็มีประสบการณ์ทำงานเพื่อสาธารณชนมามากเหมือนกัน”
หลังจากคณะกรรมการรัฐสภามีคำแนะนำให้ถอดถอนรุสเซฟฟ์ ส.ส. บราซิลจะเริ่มเปิดอภิปรายในวันศุกร์นี้ (15) ก่อนที่จะลงคะแนนโหวตแบบเต็มคณะในสภาผู้แทนราษฎรวันอาทิตย์ (17)
“การโหวตจะเริ่มในเวลา 14.00 น. วันอาทิตย์ และคาดว่าจะทราบผลแน่นอนในช่วงเย็นวันเดียวกัน” โฆษกประจำสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรบราซิลบอกกับเอเอฟพี
หากสภาผู้แทนราษฎรโหวต “ถอดถอน” เกิน 2 ใน 3 หรือเท่ากับ 342 เสียง เรื่องจะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภาซึ่งจะมีอำนาจเปิดการไต่สวนและขับ รุสเซฟฟ์ พ้นเก้าอี้ประธานาธิบดี แต่หากคะแนนโหวตถอดถอนในสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึง 2 ใน 3 ผู้นำหญิงบราซิลก็จะพ้นวิกฤต และอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ตามเดิม
จากการสำรวจความคิดเห็น ส.ส.จำนวน 513 คนในสภาล่างโดยหนังสือพิมพ์รายวันเอสตาดาโอ พบว่ามี ส.ส.ราว 300 คนที่ตัดสินใจจะโหวตถอดถอนรุสเซฟฟ์ ในขณะที่ญัตตินี้ต้องได้เสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 342 เสียงจึงจะดำเนินการต่อได้ ส่วนฟาก ส.ส.ที่คัดค้านการโหวตถอดถอนประธานาธิบดีมีอยู่ 125 คน และต้องได้มากถึง 172 เสียงจึงจะล้มญัตตินี้ได้
ดังนั้น ผลการโหวตในสภาผู้แทนราษฎรวันอาทิตย์นี้ (17) จึงขึ้นอยู่กับ ส.ส.อีก 88 คนที่ยังไม่ตัดสินใจ หรือยังไม่เปิดเผยจุดยืนของตนในขณะนี้
สถานะของรัฐบาลบราซิลในเวลานี้เรียกได้ว่าง่อนแง่นเต็มทน เมื่อล่าสุดพรรคโปรเกรสซีฟซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้ประกาศถอนตัว และยืนยันว่า ส.ส.ของพรรคทั้งหมด 47 คนจะพร้อมใจกันโหวตถอดถอน รุสเซฟฟ์
ส.ส.ฝ่ายค้านบางคนถึงกับประกาศว่า รุสเซฟฟ์ “ตายแล้วในทางการเมือง” ตั้งแต่ ทีเมอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยบราซิล (PMDB) นำลูกพรรคของตนถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา
รัฐบาลบราซิลซึ่งนำโดยพรรคแรงงานของรุสเซฟฟ์ ถูกสังคมติเตียนทั้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และการบริหารบ้านเมืองอย่างไร้ประสิทธิภาพ จนทำให้เศรษฐกิจแดนแซมบ้าเข้าสู่ภาวะถดถอยที่สุดในรอบ 25 ปี นอกจากนี้ยังถูกฟ้องคดีรับสินบนและยักยอกทรัพย์จำนวนมหาศาลจากรัฐวิสาหกิจน้ำมันเปโตรบราส (Petrobras) โดยบุคคลที่กำลังถูกอัยการเล่นงานหนักที่สุดก็คือ อดีตประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลุลา ดา ซิลวา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของพรรคแรงงาน