เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - นิวสวีครายงานเมื่อวานนี้ (4) ถึงพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท พระนักเคลื่อนไหวจากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ประกาศใช้โซเชียลมีเดียหยุดความรุนแรงทางใต้ที่มีพระสงฆ์ไทยจำนวน 20 รูปต้องมรณภาพด้วยฝีมือก่อการร้ายนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา สอดคล้องกับนักวิเคราะห์ความมั่นคงจากสถาบันธิงแทงก์ IHS-Jane’s และจากวิทยาลัยสงครามสหรัฐฯ (the National War College) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้ถึงร่องรอยการเคลื่อนไหวต้านมุสลิมในปีกของสงฆ์ไทยที่นับวันจะมีเพิ่มมากขึ้น
นิวสวีครายงานเมื่อวานนี้ (4) ว่า พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรประจำพระอารามหลวง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัย 30 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างชาติของนิตยสารนิวสวีคผ่านล่ามแปลภาษาถึงเหตุการณ์ความไม่สงบทางใต้ของไทยและการคงอยู่ของศาสนาพุทธใน 3 จังหวัดทางใต้เขตสีแดง
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า “มีความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง” ถึงเหตุร้ายรายวันที่เกิดขึ้นในทางใต้ของไทย ที่มีพระสงฆ์ไทยในพระบวรพุทธศาสนาต้องถูกสังหาร หรือได้รับบาดเจ็บด้วยฝีมือกลุ่มก่อการร้ายมมุสลิมสุดโต่งในพื้นที่
โดยพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทได้กล่าว พร้อมกับยื่นเอกสารข้อมูลออกมาให้เห็นถึงตัวเลขสถิติการมรณภาพของสงฆ์ที่มีมากถึง 20 รูป และได้รับบาดเจ็บอีก 24 รูปนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม นิวสวีคชี้ว่ากลุ่มก่อการร้ายแยกดินแดนที่ออกปฏิบัติการอยู่ในเขตพื้นที่รอยต่อไทยและมาเลเซียได้เริ่มทำการก่อการร้ายนับตั้งแต่ปี 2004 และทำให้มีชาวบ้านในพื้นที่จำนวนไม่ต่ำกว่า 6,500 คนต้องถูกสังหาร ซึ่งสื่อนิวสวีคระบุว่า ตามข้อมูลพบว่าผู้เสียชีวิตส่วนมากเป็นชาวมุสลิมในพื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าสถิตินี้จะไม่ทำให้พระนักเคลื่อนไหวจากเบญจมบพิตรสนใจได้
โดยพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทยังคงยืนกรานต่อว่า การมรณภาพของสงฆ์เพียงแค่ 1 รูปสมควรที่จะถูกเรียกได้ว่า “เป็นการโจมตีทางศาสนา” และยังเสริมต่อว่า “อาตมาได้เน้นย้ำก่อนหน้านี้แล้วเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สงฆ์ไทยถูกสังหาร หรือได้รับบาดเจ็บ” พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทกล่าว
และคำตอบต่อไปของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทยังทำให้ผู้สื่อข่าวนิวสวีคถึงกับอึ้งเมื่อพระนักเคลื่อนไหวรูปนี้ได้กล่าวออกมาว่า “และในขณะนี้ได้ผ่านจุดนั้นไปแล้ว มีเพียงแต่ต้องการแก้แค้นเท่านั้น” โดยพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดยังคงยืนกรานแนวความคิดระบบตาต่อตาฟันต่อฟันตามแบบกฎหมายโบราณของชาวสุเมเรียน ด้วยการเสนอแนวคิดให้ “เผามัสยิด” ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ผิดหลักพุทธศาสนาที่ว่าด้วยการอภัย และแนวคิดนี้ยังทำให้เฟซบุ๊กของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทถูกปิดการใช้งานใน 5 พฤศจิกายน 2015 ตามคำขอร้องของความมั่นคงของชาติ และยังได้รับจดหมายเตือนอย่างเป็นทางการจากมหาเถรสมาคม
แต่กระนั้นในการตอบคำถามกับนิวสวีค พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทยังคงกล่าวว่า “อาตมาต้องการแก้แค้น ดังนั้นจึงเสนอแนวคิดนี้ออกไป”
นิวสวีครายงานต่อว่า ถึงแม้พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทจะยอมกระทำตามคำขอของรัฐบาลไทยด้วยการปิดเฟซบุ๊กของตัวเองเพื่อความมั่นคงของชาติ แต่กลับพบว่าสิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความโด่งดังให้กับพระนักเคลื่อนไหวทางการเมืองรูปนี้ โดยพบว่ามีผู้ติดตามและเห็นด้วยจำนวนมากได้เฝ้าตามรอยพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโททางโลกโซเชียลมีเดีย
และในการให้สัมภาษณ์ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทที่ได้เข้าศึกษาต่อด้านการสื่อสารในสถาบันการศึกษาระดับสูงได้อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องเปิดเผยภาพที่น่าหดหู่ที่สงฆ์ไทยถูกกระทำด้วยฝีมือก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย ซึ่งมีบางภาพแสดงถึงสงฆ์ถูกฟันที่ศีรษะด้วยมีดอีโต้ และเลือดไหลนองท่วมว่า เชื่อว่าสื่อไทยต้องการ “ปกปิดความจริง” เหล่านี้
พระวัย 30 ปีรูปนี้ยังกล่าวต่อด้วยความภาคภูมิใจว่า เป็นผู้เดียวที่รวบรวมข้อมูลเช่นนี้ และได้อ้างกับผู้สื่อข่าวนิวสวีคว่า ท่านได้ภาพเหล่านี้มาจากแหล่งข่าวความมั่นคงของไทย แต่ในความจริงแล้ว จากการสืบค้นของนิวสวีค ภาพเหล่านี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ต่อต้านมุสลิมต่างๆ มาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
นิวสวีครายงานต่อถึงจุดยืนของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทในการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงทางภาคใต้ว่า “อาตมาต้องการให้ชาวไทยพุทธตื่นจากการดูโลกด้วยความสวยงาม อาตมาต้องการให้คนเหล่านี้ตระหนักในความเป็นจริงว่า ภัยใดกำลังจะคืบคลานมาหาพวกเขา ซึ่งได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว เพราะอาตมาเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าจะไม่หยุดเพียงแต่ 3 จังหวัดภาคใต้ที่จะถูกเปลี่ยนเป็นรัฐอิสลามเท่านั้น แต่ยังจะรวมไปถึงไทยทั้งประเทศ”
และเป็นที่น่าสังเกตว่า ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่สงฆ์ไทยมีแนวคิดคล้ายกับสถานการณ์การเมืองรอบรั้วบ้านที่มีพระสงฆ์ในบวรพุทธศาสนา เช่น พม่า หรือศรีลังกา ออกมาจากรั้ววัดร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองในการเปลี่ยนประเทศ
โดยในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้กับนักข่าวนิวสวีค พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท ได้เปิดเผยว่า ติดตามและชื่นชอบอู วิระธุ (U Wirathu) พระนักเคลื่อนไหวพม่าผู้มีบทบาทในการต่อต้านศาสนาอิสลาม ซึ่งพระพม่าผู้นี้เคยถูกกระทรวงศาสนาพม่าสอบในต้นปี 2015 ในกรณีที่เรียกผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติว่า “โสเภณี” เมื่อผู้แทนหญิงผู้นี้ได้ร้องขอให้รัฐบาลพม่าให้ความสนใจต่อปัญหาชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา
ซึ่งนอกจากนี้พระอู วิระธุยังมีส่วนทำให้เกิดการจลาจลขั้นร้ายแรงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลามในพม่าในปี 2012 และปี 2013
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนความต่างระหว่างพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท กับพระบินลาเดนแห่งพม่า (พระอู วิระธุ) จากข้อสังเกตของนิวสวีคคือ รัฐบาลทหารของไทยต้องการที่จะปราม และทำให้พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทสงบ ไม่ออกมาสร้างความแตกแยกทางศาสนาในประเทศ
ในขณะที่นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงประจำธิงแทงก์ IHS-Jane’s แอนโธนี เดวิส (Anthony Davis) ได้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เริ่มต้นที่จะเห็นเค้าลางขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านมุสลิมภายในชุมชนของสงฆ์ภายใต้การปกครองของเถรสมาคมมากขึ้น” และเดวิสยังยืนยันในเรื่องนี้ต่อว่า “นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่แนวคิดรุนแรงที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ใต้ก้อนหิน แต่กำลังจะกลายเป็นกระแสหลักในไม่ช้า”
นอกจากนี้ความเห็นของเดวิสยังสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงประจำวิทยาลัยสงคราม (the National War College) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซาคารี อาบูซา (Zachary Abuza) ได้เปิดเผยว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำนวนของพุทธสุดโต่งจะมีเพิ่มมากขึ้น และจะกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มตรงข้าม โดยอาบูซากล่าวยืนยันว่า “ชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทยรู้สึกถึงการถูกทอดทิ้ง และความไม่เป็นมิตร”
และอาบูซากล่าวว่า “ที่จังหวัดปัตตานี ความจริงแล้วมีชุมชนชาวโรฮิงญาซึ่งหนีภัยมาจากพม่าที่ใหญ่มาก และผม….คิดว่าพวกเขาคงกำลังตระหนักว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นที่มีความเคลื่อนไหวพุทธสุดโต่ง ที่มีวาทะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและความแตกแยก ผมคิดว่าพวกเขาวิตกกันมากในทางใต้ของไทย”
ซึ่งนิวสวีคชี้ว่า ความเคลื่อนไหวของปีกสงฆ์ต่อต้านอิทธิพลศาสนาอิสลามในไทยนั้นได้เริ่มมองหาแนวร่วมจากขบวนการสงฆ์ในต่างแดน เป็นต้นว่า ศรีลังกา และพม่า ซึ่งถือเป็น 2 ชาติพุทธหลักที่มีกลุ่มความเคลื่อนไหวของสงฆ์หัวรุนแรงต่อต้านมุสลิมอย่างชัดเจน
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีการจัดสัมมนาว่าด้วย “วิกฤตพุทธศาสนาในเวทีโลก” หรือ “Crisis in the Buddhist World.” ซึ่งมีพระจากศรีลังกาได้ขึ้นกล่าวถึงภัยคุกคามต่อสังคมชาวพุทธในอนาคต
และนอกจากเสียงวิจารณ์จากนักวิเคราะห์ต่างชาติแล้ว ยังมีเสียงสะท้อนแสดงความกังวลถึงสถานการณ์นี้ในกลุ่มชุมชนชาวพุทธด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ส.ศิวรักษ์ ปราชญ์ของไทยและผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้กับนิวสวีคว่า “มีคนจำนวนมากอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ แต่ความจริงแล้วเป็นพวกไม่เอาไหน” ส.ศิวรักษ์กล่าว
และยังกล่าวต่อไปถึงกรณีของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทที่ประกาศใช้ความรุนแรงว่า สมควรเลิกจากความเป็นพระ สละผ้าเหลืองเสีย ลาออกจากความเป็นชาวพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้ “ปราศจากความรุนแรง มีเมตตา และกรุณา” ซึ่งหากเมื่อใดก็ตามที่ชาวพุทธโยงศาสนาพุทธให้กลายเป็นลัทธิและผูกเข้ากับแนวคิดความเป็นรัฐชาติ เชื้อชาติ นั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายมาก
นอกจากปราชญ์ทางด้านศาสนา เช่น ส.ศิวรักษ์ ที่นอกจากไม่เห็นด้วยในการเคลื่อนไหวการใช้ความรุนแรงเพื่อการยึดพื้นที่คืนจากศาสนาอิสลามของบรรดาพุทธสุดโต่งแล้ว นิตยสารนิวสวีคยังชี้ว่า ในส่วนรัฐบาลไทย และประชาชนชาวพุทธบางส่วนยังได้กล่าวประณามแนวคิดนี้ และประกาศไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโทด้วยเช่นกัน